สรุปความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ม.4 แจกโจทย์ฟรี

หลังจากเรียนจบเทอม 1 กันไปแล้ว มีใครรู้สึกกังวลกับคณิต ม.ปลายบ้าง ? แน่นอนว่ายิ่งเรียนปีสูงขึ้นเท่าไหร่ เนื้อหามันก็ต้องยากขึ้นเรื่อย ๆ ใช่มั้ยย อาจจะทำให้หลายคนกังวลและกลัวว่าจะไม่เข้าใจในบางบทเรียน แต่ความเครียดนั้นจะหายไป เพราะพี่ ๆ ได้เตรียมสรุปคณิตศาสตร์มาให้ทุกคนได้อ่านก่อนสอบแล้ววว

ซึ่งบทเรียนที่พี่ ๆ เตรียมมาในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในบทเรียนของคณิต ม.4 เทอม 2 อย่างเรื่อง ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
ใครที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ หรืออยากจะเตรียมตัวล่วงหน้า ควรอ่านบทความนี้น้าเพราะนอกจากจะสรุปเนื้อหาแล้ว ยังมีคลิป
ติวฟรีพร้อมโจทย์ให้ฝึกทำอีกด้วย !!

“ความสัมพันธ์” เป็นคำที่เราใช้กันบ่อยมาก เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน แฟน Friend Zone หรือ แม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของกับสิ่งของก็ตาม อย่างไรก็ตาม นักคณิตศาสตร์อยากลองนิยามคำว่า “ความสัมพันธ์” ให้ชัดเจนว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร มา !!! เดี๋ยวเราลองไปดูกันเลยยยย

ผลคูณคาร์ทีเซียน

บทนิยาม

ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B คือเซตของคู่อันดับ \left ( a,b \right ) ทั้งหมด

โดยที่ a  เป็นสมาชิกของเซต A และ b  เป็นสมาชิกของเซต B

สามารถเขียนผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B แทนด้วย A\times B

เช่น กำหนดให้ A=\left \{ 1,2,3 \right \} และ B=\left \{ a,b \right \}

ดังนั้น A\times B=\left \{ (1,a),(2,a),(3,a),(1,b),(2,b),(3,b) \right \}

ความสัมพันธ์

บทนิยาม

r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ r เป็นสับเซตของ A\times B

เช่น กำหนดให้ A=\left \{ 1,2,3 \right \} และ B=\left \{ 1,3 \right \}

ถ้า r_{1}=\left \{ (x,y)\in A\times B\mid x<y \right \} จะสามารถเขียนแจกแจงสมาชิกได้ดังนี้ r_{1}=\left \{ (1,3),(2,3) \right \}

หรือเราสามารถเรียกได้ว่า r_{1} เป็นความสัมพันธ์ “น้อยกว่า” จาก A ไป B นั่นเอง

กราฟของความสัมพันธ์

ในหัวข้อนี้เราจะสนใจเฉพาะความสัมพันธ์ของจำนวนเท่านั้นนะ โดยเราสามารถนำความสัมพันธ์มาแสดงเป็นภาพได้โดยนำคู่อันดับในความสัมพันธ์มาแสดงเป็นพิกัดของจุดแล้ววางลงไปบนระนาบ XY ก็จะได้ออกมาเป็นกราฟของ
ความสัมพันธ์ต่าง ๆ

กราฟของความสัมพันธ์ r มีอยู่ 3 ลักษณะ

  1. กราฟมีลักษณะเป็นจุด
    เช่น \left ( x,y \right ) เป็นสมาชิกของ \mathbb{Z}\times \mathbb{Z}   ดังรูป
  2. กราฟมีลักษณะเป็นเส้น
    เช่น \left ( x,y \right ) เป็นสมาชิกของ \mathbb{R}\times \mathbb{R} มีเงื่อนไขเป็นสมการ ดังรูป
  3. กราฟมีลักษณะเป็นพื้นที่
    เช่น \left ( x,y \right ) เป็นสมาชิกของ \mathbb{R}\times \mathbb{R} มีเงื่อนไขเป็นอสมการ
กราฟของความสัมพันะ์และฟังก์ชัน

ข้อสังเกต
เรานำสมาชิกตัวหน้ามาเป็นค่าตำแหน่งบนแกน X และนำสมาชิกตัวหลังเป็นค่าตำแหน่งบนแกน Y แล้วใช้ค่าตำแหน่ง
ทั้งสองมาเป็นพิกัดในการลงจุดเพื่อวาดกราฟนั่นเอง

โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์

คราวนี้ก็มาถึงหัวข้อที่สำคัญมาก ๆ และน้อง ๆ ทุกคนจะได้เจอในข้อสอบอย่างแน่นอนนั่น คือ โดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ ซึ่งเราจะต้องหาทั้งในรูปแบบของเซตและกราฟได้ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับบทนิยามของโดเมนและเรนจ์กันก่อนเลย

บทนิยาม

ให้ r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B

  • โดเมนของ r คือ เซตของสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับทั้งหมดใน r เขียนแทนด้วย D_r
  • เรนจ์ของ r คือ เซตของสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับทั้งหมดใน r เขียนแทนด้วย R_r

ตัวอย่างที่ 1 จงหาโดเมนและเรนจ์จากกราฟของความสัมพันธ์ที่กำหนดให้ต่อไปนี้

หาโดเมนและเรนจ์จากกราฟของความสัมพันธ์

วิธีทำ

จากข้อ 1)

กำหนดให้เป็นกราฟของความสัมพันธ์ r_1

จะได้ว่า r_1=\left \{ \left ( -4, 2 \right ), \left ( -2, 0 \right ), \left ( 0, -2 \right ), \left ( 2, 0 \right ), \left ( 4, 2 \right )\right \}

ดังนั้น D_{r_1}=\left \{ -4, -2, 0, 2, 4 \right \} และ R_{r_1}=\left \{ -2, 0, 2 \right \}

จากข้อ 2)

แนวคิด เราสามารถมองเส้นจากกราฟของความสัมพันธ์ r_2 ได้ว่าเป็นจุดจำนวนมากเรียงต่อกัน จนกลายเป็นเส้น ดังนั้น วิธีการหาโดเมนและเรนจ์จากกราฟในข้อนี้ สามารถมองได้ด้วยวิธีคล้ายกับกับข้อ 1)

สมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับจะเป็นจำนวนจริงทั้งหมดเลย (ตั้งแต่ -\infty จนถึง \infty )

ถ้าเริ่มมองจากแกน Y ด้านล่างขึ้นมา จะเห็นว่าสมาชิกตัวหลังของคู่อันดับจะเป็นจำนวนตั้งแต่ -2 จนถึง \infty

จะได้ว่า D_{r_2}=\mathbb{R} และ R_{r_2}=[-2, \infty )

จากตัวอย่างก่อนหน้า เราสามารถสรุปการหาโดเมนและเรนจ์จากกราฟของความสัมพันธ์ได้เป็นดังนี้เลยย

การหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

นอกจากการหาโดเมนและเรนจ์จากกราฟของความสัมพันธ์แล้ว ถ้าโจทย์ให้ความสัมพันธ์ที่เขียนในรูปของเซตแบบบอกเงื่อนไข เราจะใช้เทคนิคในการพิจารณาเงื่อนไขแล้วหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ ซึ่งจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

เทคนิค การหาโดเมนและเรนจ์ด้วยวิธีพิจารณาจากเงื่อนไข

ให้พิจารณาเงื่อนไขดังนี้

  • \frac{\blacktriangle }{\blacksquare }
    จะได้ว่า \blacksquare \neq 0 (ตัวส่วนไม่เท่ากับศูนย์)
  • \sqrt[n]{\blacksquare }=\blacktriangle (เมื่อ n เป็นจำนวนคู่)
    จะได้ว่า \blacksquare \geqslant 0 และ \blacktriangle \geqslant 0

ตัวอย่างที่ 2 จงหาโดเมนและเรนจ์ของความสัมพันธ์ต่อไปนี้

1) r_1=\left \{ \left ( x, y \right )\mid y=\frac{1}{x+1} \right \}

วิธีทำ

พิจารณา  \frac{1}{x+1} จะเห็นว่า x+1 ต้องไม่เป็นศูนย์

นั่นคือ x\neq -1

ดังนั้น D_{r_1}=\left \{x \mid x\neq -1 \right \}=\mathbb{R}-\left \{ -1 \right \}

พิจารณา y=\frac{1}{x+1}  

จะได้ว่า y\neq 0

ดังนั้น R_{r_1}=\left \{y \mid y\neq 0 \right \}=\mathbb{R}-\left \{ 0 \right \}  

2) r_2=\left \{ \left ( x, y \right )\mid y=\sqrt{x} \right \}

วิธีทำ

พิจารณา \sqrt{x}

จะได้ว่า x ต้องไม่เป็นจำนวนลบ

ดังนั้น D_{r_2}=\left \{x \mid x\geqslant 0 \right \}=[0, \infty )

เนื่องจาก x ไม่เป็นจำนวนลบ แล้วแทน x ด้วย 0 ใน \sqrt{x} จะได้ค่าที่น้อยที่สุดเท่ากับ 0

ดังนั้น R_{r_2}=\left \{y \mid y\geqslant 0 \right \}=[0, \infty )  

ตัวผกผันของความสัมพันธ์

บทนิยาม

ตัวผกผันของความสัมพันธ์ r คือความสัมพันธ์ที่เกิดจากการสลับที่ของสมาชิกตัวหน้า และสมาชิกตัวหลัง
ในแต่ละคู่อันดับที่เป็นสมาชิกของ r

ตัวผกผันของความสัมพันธ์ r เขียนแทนด้วย r^{-1}  

เช่น ถ้า r=\left \{ \left ( 1,2 \right ), \left (3, 4  \right ),\left ( 5, 6 \right ) \right \}  แล้วจะได้ว่า r^{-1}=\left \{ \left ( 2, 1 \right ),\left ( 4, 3 \right ),\left ( 6,5 \right ) \right \}  

ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนความสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปเซตแบบบอกเงื่อนไข ดังนั้นเราก็สามารถเขียนตัวผกผันของความสัมพันธ์ให้อยู่ในรูปของเซตแบบบอกเงื่อนไขได้เช่นกัน

เช่น

แบบที่ 1: r^{-1}=\left \{ \left (y, x  \right )\in B\times A\mid \left ( x, y \right )\in r \right \} หรือ

แบบที่ 2: r^{-1}=\left \{ \left (x, y  \right )\in A\times B\mid \left ( y, x \right )\in r \right \}

ซึ่งถ้าน้อง ๆ ลองสังเกตจะเห็นว่าการเขียนทั้งสองแบบเกิดจากการสลับ x และ y แต่แบบที่ 1 จะสลับที่ด้านหน้าเพียง
อย่างเดียว ส่วนแบบที่ 2 จะสลับที่เพียงด้านหลังอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าใครเผลอไปเขียนตัวผกผันของความสัมพันธ์แล้วสลับทั้งสองที่จะผิดได้นะ !

ฟังก์ชัน

หลังจากที่เรารู้จักความสัมพันธ์กันไปแล้ว มันก็จะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่เราได้ให้ชื่อมันเอาไว้ ซึ่งความสัมพันธ์ประเภทนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่นำไปต่อยอดในหัวข้ออื่น ๆ ได้อีกมากมาย ความสัมพันธ์นี้มีชื่อว่า “ฟังก์ชัน”

ความหมายของฟังก์ชัน

บทนิยาม

ฟังก์ชัน คือ ความสัมพันธ์ที่คู่อันดับสองคู่อันดับใด ๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้ามีสมาชิกตัวหน้าเหมือนกันแล้ว สมาชิกตัวหลังต้องเหมือนกัน

จากบทนิยามข้างต้น พี่จะขออธิบายง่าย ๆ แบบนี้น้าา ฟังก์ชัน คือ ความสัมพันธ์ที่สมาชิกตัวหน้าแต่ละตัวจะจับกับสมาชิกตัวหลังเพียงค่าเดียวเท่านั้น !!

ฟังก์ชันโดยส่วนใหญ่มักจะเขียนแสดงได้ 3 รูปแบบคือ แผนภาพ เซต และกราฟของฟังก์ชัน โดยกราฟของฟังก์ชันจะถูก
ใช้บ่อยและมีความสำคัญมากกก พี่เลยจะขอยกให้เป็นหัวข้อใหญ่หลังจากพี่อธิบายการเขียนฟังก์ชันสองแบบแรกน้าา

1. เขียนในรูปของแผนภาพ

เขียนฟังก์ชันในรูปของแผนภาพ

2. เขียนในรูปของเซต

สามารถเขียนได้ 2 แบบ คือ แบบแจกแจงสมาชิกตรง ๆ และ แบบบอกเงื่อนไข เช่น

แบบแจกแจงสมาชิก

  • f=\left \{ \left ( 1,a \right ),\left ( 2,b \right ),\left ( 3,c \right )\right \}

แบบบอกเงื่อนไข

  • g=\left \{ \left (x,y \right )|y = 2x+1 \right \}

ตัวอย่างที่ 3 กำหนดให้ A = \left \{ -1,0,1 \right \} จงพิจารณาความสัมพันธ์ต่อไปนี้ว่าเป็นฟังก์ชันหรือไม่

1. f=\left \{ \left (x,y \right )\in A\times A|y = x \right \}

วิธีทำ

จาก f เมื่อเขียนความสัมพันธ์แบบแจกแจงสมาชิกจะได้

f=\left \{ \left (-1,-1  \right ) \left (0,0  \right )\left (1,1  \right )\right \}

สังเกตว่า สมาชิกของแต่ละตัวใน f ไม่มีคู่อันดับตัวไหนเลยที่ “ถ้าเลขตัวหน้าในคู่อันดับซ้ำกันแล้วตัวหลังไม่ซ้ำกัน”

ดังนั้น f เป็นฟังก์ชัน

2.  g=\left \{ \left (x,y \right)\in A\times A|y^{2} = x \right \}  

วิธีทำ

จาก g เมื่อเขียนความสัมพันธ์แบบแจกแจงสมาชิกจะได้

g=\left \{ \left (0,0  \right ) \left (1,1  \right )\left (1,-1  \right )\right \}

สังเกตว่า g มีคู่อันดับ \left (1,1  \right ) และ \left (1,-1  \right ) มีเลขตัวหน้าในคู่อันดับซ้ำกันคือ เลข 1 และมีตัวหลังต่างกันคือ 1 และ -1

ดังนั้น g ไม่เป็นฟังก์ชัน

กราฟของฟังก์ชัน

ตัวอย่างที่ 4 จงพิจารณาว่ากราฟต่อไปนี้เป็นฟังก์ชันหรือไม่

1.

กราฟของฟังก์ชัน

วิธีทำ
ลากเส้นตรงในแนวตั้ง (ขนานแกน Y) ให้ตัดผ่านกราฟ สังเกตว่า ไม่มีกรณีใดเลยที่เส้นตรงลากผ่านกราฟแล้วเกิดจุดตัดกราฟมากกว่า 1 จุด ดังนั้น กราฟดังกล่าวเป็นฟังก์ชัน

2.

กราฟของฟังก์ชันที่เป้นวงกลม

วิธีทำ
ลากเส้นตรงในแนวตั้ง (ขนานแกน Y) ให้ตัดผ่านกราฟ สังเกตว่า มีบางกรณีที่เส้นตรงลากผ่านกราฟแล้วเกิดจุดตัดกราฟมากกว่า 1 จุด เช่น

ตัวอย่างการฟที่ไม่เป็นฟังก์ชัน

ดังนั้น กราฟดังกล่าวไม่เป็นฟังก์ชัน

ประเภทของฟังก์ชัน

ฟังก์ชันที่เราศึกษานั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

1. ฟังก์ชันจาก A ไป B

บทนิยาม

f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็น A และเรนจ์เป็นสับเซตของ B

ฟังก์ชันจาก A ไป B

สังเกตได้ว่าฟังก์ชัน จาก A ไป B จะมีสมาชิกตัวหน้าอยู่ใน A และมีสมาชิกตัวหลังอยู่ใน B เสมอ โดยสมาชิกใน A จะถูกใช้ในฟังก์ชันหมดทุกตัว แต่สมาชิกใน B จะถูกใช้ในฟังก์ชันหมดทุกตัวหรือไม่ก็ได้

2. ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

บทนิยาม

f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็น A และเรนจ์เป็น B

เช่น

ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

สังเกตได้ว่าฟังก์ชัน จาก A ไปทั่วถึง B สมาชิกทุกตัวใน B จะถูกใช้ในฟังก์ชันทั้งหมด

3. ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B

บทนิยาม

f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ซึ่งสำหรับ x_{1}  และ x_{2}  ใด ๆ ใน A ถ้า f\left ( x_{1} \right )=f\left ( x_{2} \right ) แล้ว x_{1}= x_{2}

เช่น

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B

สังเกตได้ว่าฟังก์ชัน 1-1 จาก A ไป B สมาชิกใน B จะถูกใช้ในฟังก์ชันไม่เกิน 1 ตัวเสมอ

ซึ่งการตรวจสอบกราฟว่าเป็นฟังก์ชัน 1-1 มั้ย สามารถทำได้โดยลากเส้นในแนวนอน (ขนานแกน X) ให้ตัดกับกราฟ
ถ้ามีกรณีใดเกิดจุดตัดระหว่างกราฟและเส้นในแนวนอนมากกว่า 1 จุด กราฟดังกล่าวจะไม่เป็นฟังก์ชัน 1-1

ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด

บทนิยาม

ให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่งมีโดเมนและเรนจ์เป็นสับเซตของจำนวนจริง และ A เป็นสับเซตของโดเมน

ฟังก์ชันเพิ่มและฟังก์ชันลด

เช่น ให้ f เป็นฟังก์ชันที่มีกราฟดังรูป

กราฟของฟังก์ชันเเพิ่มและฟังก์ชันลด

f เป็นฟังก์ชันเพิ่มบนช่วง [-1,1] และ

f เป็นฟังก์ชันลดบนช่วง [-4,-1] และ [1,4]  

การดำเนินการของฟังก์ชัน

เรารู้จักฟังก์ชันกันมาพอสมควรแล้ว เดี๋ยวเราลองมาสร้างฟังก์ชันใหม่ที่ใช้ฟังก์ชันเดิมเป็นองค์ประกอบดีกว่า เนื่องจาก ฟังก์ชันที่มีโดเมนและเรนจ์เป็นเซตของจำนวนที่สามารถบวก ลบ คูณ และหารได้ ดังนั้นเราจะใช้การดำเนินการต่าง ๆ
มาสร้างฟังก์ชันใหม่ดูบ้าง

พีชคณิตของฟังก์ชัน

บทนิยาม

ให้ f และ g เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนและเรนจ์เป็นสับเซตของ \mathbb{R}

กำหนดฟังก์ชัน f+g,f-g,fg และ  \frac{f}{g}  ดังนี้

(f+g)(x)=f(x)+g(x)
(f-g)(x)=f(x)-g(x)
(fg)(x)=f(x)\cdot g(x)
(\tfrac{f}{g})(x)=\frac{f(x)}{g(x)} เมื่อ g(x)\neq 0

ตัวอย่างที่ 5 ให้ f(x)=2x+1  และ g(x)=x-3 จงหา f-g และ fg       

วิธีทำ เนื่องจากโดเมนของ f คือ \mathbb{R}   และโดเมนของ g คือ \mathbb{R}  ดังนั้น

(f-g)(x)=f(x)-g(x)=(2x+1)-(x-3)  

=2x+1-x+3=x+4 

และ

(fg)(x)=f(x)\cdot g(x)=(2x+1)\cdot(x-3)

=2x^{2}-6x+x-3=2x^{2}-5x-3

ฟังก์ชันประกอบ

บทนิยาม

ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน โดยที่ R_{f}\cap D_{g}\neq \varnothing
ฟังก์ชันประกอบของ f และ g เขียนแทนด้วย g \circ f คือฟังก์ชันที่โดเมน คือ
       D_{g \circ f }= \left \{ x\in D_{f}|f(x)\in D_{g}\right \}
และกำหนด g \circ f โดย 
       g \circ f (x)=g(f(x)) สำหรับทุก x ใน D_{g \circ f }

ตัวอย่างที่ 6 ให้ f(x)=x-1 และ g(x)=3x จงหา g \circ f (x) และ

f \circ g (x)  

วิธีทำ จาก  f(x)=x-1 และ g(x)=3x จะได้

g \circ f (x)=g(f(x))

=g(x-1)

=3(x-1)=3x-3

และ

f \circ g (x)=f(g(x))

=f(3x)

=(3x)-1=3x-1

ฟังก์ชันผกผัน

ในเรื่องตัวผกผันของความสัมพันธ์ เราหาได้จากการสลับสมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังของแต่ละคู่อันดับที่เป็นสมาชิกในความสัมพันธ์นั้น ลองคิดดูดี ๆ ฟังก์ชันก็เป็นความสัมพันธ์หนึ่งเช่นกัน ดังนั้น เราจึงสามารถใช้วิธีเดียวกันในการหาได้ แต่ตัวผกผันของฟังก์ชันนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นฟังก์ชันเสมอไป

เช่น f=\left \{ (3,4),(6,4) \right \} เป็นฟังก์ชัน

แต่เราจะได้ f^{-1}=\left \{ (4,3),(4,6) \right \} ไม่เป็นฟังก์ชัน

บทนิยาม

ให้ f เป็นฟังก์ชัน จะได้ว่า f มีฟังก์ชันผกผัน ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชัน 1 – 1

ตัวอย่างที่ 7 ฟังก์ชัน f เป็นฟังก์ชัน 1 – 1 ซึ่งกำหนดโดย f(x)=2x-1 จงหาฟังก์ชันผกผัน

วิธีทำ

ให้  f(x)=y  

จะได้ y=2x-1  ต้องการหาตัวผกผัน

(เปลี่ยน x เป็น y และ เปลี่ยน y เป็น x)

จะได้ x=2y-1  

(จัดรูปโดยเขียน y ให้อยู่ในรูปของ x)

จะได้ y=\frac{x+1}{2}  

ดังนั้น f^{-1}(x)=\frac{x+1}{2}  

ดูคลิปติวฟรี ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ม.4

ดูคลิปติวฟรีอื่น ๆ ได้ที่ YouTube : SmartMathPro

เป็นยังไงบ้างกับสรุปบทความสัมพันธ์และฟังก์ชัน ม.4 อาจจะเนื้อหาเยอะหน่อย แต่ถ้าน้อง ๆ ทบทวนเนื้อหา รวมถึง
ฝึกทำโจทย์บ่อย ๆ พี่เชื่อว่่าทุกคนจะเก่งขึ้น และทำคะแนนสอบได้ดีแน่นอนน ซึ่งถ้าใครอยากได้โจทย์ไปฝึกซ้อมมือเพิ่มเติม เสริมความมั่นใจ พี่ก็มีโจทย์และแบบฝึกหัดในคลังข้อสอบให้ทุกคนได้ไปดาวน์โหลดมาฝึกทำกันแบบฟรี ๆ ด้วยน้าา
แวะเข้าไปดูกันได้เลยย

แต่ถ้าน้อง ๆ คนไหนที่ทบทวนเนื้อหา รวมถึงฝึกทำโจทย์เองแล้วก็ยังไม่เข้าใจ มาลงเรียนคอร์สความสัมพันธ์และฟังก์ชัน
ก็ได้น้าา เพราะในคอร์ส พี่ปั้นจะสอนเนื้อหาแบบปูพื้นฐาน พาตะลุยโจทย์ ข้อสอบและแบบฝึกหัดกว่า 150 ข้อ !!

อยากแนะนำให้น้องทบทวนบทนี้เยอะ ๆ เพราะถ้าพื้นฐานของเรื่องนี้แน่น น้อง ๆ ก็จะเรียนบทอื่นต่อได้สบายย
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกเล้ยย

บทความ แนะนำ

บทความ แนะนำ

สรุปเนื้อหาคณิต เซต ม.4 พร้อมแจกฟรีเช็กลิสต์
เซต (Set) คืออะไร สรุปเนื้อหาเซต ม.4 พร้อมโจทย์และเฉลย
สรุปเนื้อหาจำนวนจริง ม.4 เรียนเรื่องอะไรบ้าง
จำนวนจริง ม.4 สรุปครบม้วนเดียวจบ พร้อมแจกโจทย์จำนวนจริงและวิธีทำ
สรุปเนื้อหาคณิต "ตรรกศาสตร์" ม.4
ตรรกศาสตร์ ม.4 สรุปเนื้อหาครบ พร้อมโจทย์ตรรกศาสตร์และวิธีทำ
สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.5
คณิตศาสตร์ ม.5 เทอม 1 เทอม 2 เรียนอะไร? สรุปครบทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติม
สรุปเนื้อหาคณิต ม.6 เรียนอะไรบ้าง
คณิตศาสตร์ ม.6 เทอม 1 เทอม 2 คณิตพื้นฐานและเพิ่มเติม เรียนอะไรบ้าง?
สรุปเนื้อหาคณิตศาสตร์ ม.ปลาย ม.4 ม.5 ม.6 ต้องเรียนอะไรบ้าง
คณิตศาสตร์ ม.ปลาย (ม.4 ม.5 ม.6) หลักสูตรใหม่ เรียนเรื่องอะไรบ้าง ?

สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ ที่อัปเดตอย่างเรียลไทม์ ได้ที่

Line : @smartmathpronews 

FB : Pan SmartMathPro ติวคณิต By พี่ปั้น 

IG : pan_smartmathpro

Twitter : @PanSmartMathPro 

Tiktok : @pan_smartmathpro

Share