รีวิวการเรียนคณะแพทย์

ไหนใครอยากเข้าคณะแพทย์บ้าง ขอเสียงหน่อยย พี่ว่าคงมีหลายคนเลยที่ฝันอยากจะเป็นแพทย์มาตั้งแต่เด็กและกำลังตั้งเป้าหมายที่จะเข้าคณะแพทย์กันอยู่แน่นอน วันนี้พี่เลยจะพาทุกคนไปลงลึกถึงชีวิตแพทย์ให้มากยิ่งขึ้นที่ไม่ใช่แค่การเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตการทำงานในฐานะแพทย์ ผ่านประสบการณ์จากแพทย์ตัวจริงเสียงจริงอย่าง “พี่หมออู๋” ติวเตอร์สอน TPAT1 กสพท พาร์ตจริยธรรมของเรานั่นเองงง

ใครที่อยากรู้แล้วว่าชีวิตการเรียนและการทำงานของแพทย์นั้นเป็นยังไง จะสนุกหรือมีเรื่องให้ท้าทายแค่ไหน และเราควรจะเรียนคณะนี้ดีไหม มาหาคำตอบไปพร้อมกันในบทความนี้กันเลยยย

แนะนำตัวเอง

สวัสดีครับน้อง ๆ ทุกคน พี่ชื่อหมออู๋ นพ.พสิษฐ์ อัศวธนบดีนะครับ พี่เรียนจบจากคณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น และจบเฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าครับ

จุดเริ่มต้นของการอยากเรียนคณะแพทย์

ครอบครัวของพี่เป็นแพทย์ครับ พี่ก็จะเห็นการทำงานของแพทย์มาตลอด ทั้งการทำงานในโรงพยาบาลและทำงาน
ในคลินิก พอพี่มีโอกาสได้คลุกคลีกับอาชีพแพทย์มาก ๆ เลยทำให้คิดว่าเมื่อโตขึ้นพี่ก็อยากจะเป็นแพทย์บ้าง แต่จริง ๆ
มันก็รวมกับค่านิยมของสังคมไทยด้วย เพราะเด็กที่เรียนเก่งก็มักจะมีตัวเลือกในการทำงานไม่ค่อยเยอะ หลัก ๆ ก็จะมีแพทย์ ทันตแพทย์ วิศวะ แต่ถ้าใครที่เก่งมาก ๆ ก็จะมีทางเลือกเพิ่ม เช่น สอบชิงทุน สอบ ก.พ. หรือสอบไปเรียน
ต่างประเทศ

พาร์ตการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์

ถ้าถามว่าการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ในยุคของพี่กับยุคปัจจุบันมันต่างกันเยอะไหม ? สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปแบบ
เห็นได้ชัดคือ ชื่อข้อสอบ เพราะสมัยพี่ยังใช้ การสอบวิชาเฉพาะ, O-NET, A-NET อยู่เลย

ซึ่งสมัยนี้กลายเป็น A-Level และ TPAT1 ความถนัดแพทย์ไปแล้ว แต่จริง ๆ วิชาที่ใช้สอบก็คล้ายกันเกือบหมด และเนื้อหา
ที่นำมาออกสอบก็ยังเหมือนเดิม สัดส่วนคะแนนแต่ละวิชาก็คล้ายเดิม พี่เลยคิดว่าการเตรียมตัวสอบคงไม่ได้แตกต่างกันทุกคนที่จะเข้าคณะแพทย์ก็ยังต้องอ่านหนังสือหนักหมือนเดิม (และอาจจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีเพราะการแข่งขันสูงมาก)

สำหรับ Dek68 คนไหนที่มีคณะแพทย์เป็นเป้าหมาย อยากเริ่มเตรียมตัวก่อนใคร แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มเตรียมสอบยังไง โดยเฉพาะกับ TPAT1 ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ไม่มีสอนในโรงเรียน ทำให้หลายคนกังวลว่าถ้าอ่านเองก็อาจจะอ่านไม่เข้าใจ ใครที่กำลังเครียดเรื่องนี้อยู่ พี่มีตัวช่วยดี ๆ อย่างคอร์ส Full Set MED ที่สอน TPAT1 ครบทั้ง 3 พาร์ตโดยพี่ทั้งสามคน  คือ พี่ปั้น  (สอนพาร์ตเชาวน์ปัญญา), พี่หมออู๋ (สอนพาร์ตจริยธรรมแพทย์), และอ.ขลุ่ย  (สอนพาร์ตเชื่อมโยงและพาร์ตเชาวน์ไทย)

โดยคอร์สนี้ก็จะสอนตั้งแต่การปูพื้นฐาน  (คนไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้สบายมาก) ไปจนถึงพาทำโจทย์จัดเต็มมากกว่า
300 ข้อ พร้อมทริคในการทำข้อสอบให้คะแนนปัง แถมยังมี Unseen Mock Test TPAT1 ให้น้อง ๆ ไปฝึกซ้อมมือกัน
แบบฟรี ๆ อีก 1 ชุดด้วย ถ้าใครสนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก ได้เลยน้าา

พี่หมออู๋เตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์หนักแค่ไหน ?

พี่เริ่มเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยฯ ตั้งแต่ ม.3 ขึ้น ม.4 (พี่รู้ตัวเองค่อนข้างเร็วว่าอยากทำอาชีพอะไร) ซึ่งเริ่มจากการเรียนล่วงหน้าก่อน เช่น ช่วงปิดเทอมที่เตรียมขึ้น ม.4 พี่ก็จะเรียนเนื้อหาของ ม.4 ล่วงหน้าให้หมด ทำแบบนี้ทุก ๆ ปี และพอพี่
ขึ้นม.6 ก็เท่ากับว่าพี่เก็บเนื้อหาที่โรงเรียนล่วงหน้าไปครบหมดแล้ว ดังนั้นก็จะมีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยฯ ทีนี้ก็ตะลุยโจทย์จัดเต็ม และเลือกเรียนเฉพาะวิชาที่อยากเสริมให้แม่นขึ้น

ถ้าถามว่าทำไมพี่ถึงต้องเตรียมตัวหนักมากขนาดนี้ ? ก่อนอื่นอยากจะบอกน้อง ๆ ทุกคนว่าการเตรียมตัวสอบแพทย์
มันหนักตั้งแต่เริ่มและจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าใครยังไม่เห็นภาพ อยากให้ลองคิดว่าในหนึ่งปีจะมีคนอยากสอบเข้าแพทย์ กสพท หลายหมื่นคน แต่คนที่สอบเข้าแพทย์ กสพท ได้จริง ๆ มีแค่ 2,000 กว่าคนต่อปี ด้วยการแข่งขันที่สูงขนาดนี้พี่คิดว่าถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี ๆ ตั้งแต่เริ่ม ก็มีโอกาสที่คณะในฝันอาจจะหลุดมือได้เลย

คณะแพทย์ 6 ปีเรียนอะไรบ้าง ?

รู้เส้นทางการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ของพี่หมออู๋กันไปแล้ว พาร์ตต่อไปที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ ชีวิตการเป็นนักเรียนแพทย์ ที่พี่หมออู๋จะเล่าให้ฟังทั้งเนื้อหาที่คนอยากเรียนแพทย์ต้องเจอ และบรรยากาศในห้องเรียน ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว
ก็ไปอ่านกันนน

คณะแพทย์ เรียนอะไรบ้าง ?

ภาพรวมการเรียนคณะแพทย์แต่ละที่จะมีความคล้ายกันเพราะถูกกำหนดโดยแพทยสภาแล้วว่านักศึกษาแพทย์ทุกคน
จะต้องเรียนอะไรบ้าง แต่ก็มีบางส่วนที่แตกต่างกันซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน อย่างการจัดลำดับของวิชาและวอร์ดต่าง ๆ 

ซึ่งปี 1 จะเรียนวิชาทั่วไป เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และได้เรียนรวมกับคณะอื่น ๆ ด้วย ส่วนปี 2, ปี  3 เน้นการเรียนเลคเชอร์และ Lab ซึ่งจะลงลึกเกี่ยวกับการเป็นแพทย์มากขึ้น 

และชั้นปี 4-6 เป็นช่วงเวลาที่น้อง ๆ จะได้เรียนรู้การทำงานในโรงพยาบาล ซึ่งทุกคนจะได้ดูแลคนไข้ ราวน์วอร์ดผู้ป่วยใน
ดูแลและตรวจผู้ป่วยนอก รวมถึงการอยู่เวรด้วย 

นี่เป็นการอธิบายการเรียนในคณะแพทย์ตลอด 6 ปีแบบคร่าว ๆ เท่านั้นน้าา ถ้าใครอยากลงลึกเนื้อหาแต่ละปีว่าเรียน
เกี่ยวกับอะไร มีมหาลัยฯ ไหนเปิดคณะแพทย์บ้าง ก็สามารถเข้าไปอ่านบทความ คณะแพทย์ เรียนอะไร ได้เลยน้าา

บรรยากาศการเรียนแพทย์เป็นยังไงบ้าง ?​

หลายคนอาจจะกังวลว่าถ้าเข้าไปเรียนแล้ว น้อง ๆ อาจจะเจอแต่คนเก่ง จนทำให้บรรยากาศการเรียนไม่ค่อยชิว
มีแต่ความเครียดหรือเปล่า ? ถ้าตอบตามความเป็นจริง คือ พี่คิดว่ามันก็เหมือนสังคมทั่วไป ที่จะมีคนเก่งมาก คนขยัน
คนนั่งหน้าห้อง คนนั่งหลังห้อง แต่พี่คิดว่าสังคมในคณะแพทย์เป็นสังคมที่ค่อนข้างดี เพราะทุกคนก็จะช่วยกันเรียน
แลกเปลี่ยนสรุปซึ่งกันและกัน บางทีรุ่นพี่ก็ช่วยติวให้รุ่นน้อง อย่างตอนนี้ พี่ก็เรียนจบมานานมากแล้ว แต่ถ้ามีปัญหา
ก็ยังปรึกษากับเพื่อน ๆ และรุ่นพี่เหมือนเดิมเลย

จริง ๆ อยากแนะนำน้อง ๆ ทุกคนว่าถ้าสอบติดและเข้าไปเรียนได้แล้ว ก็ให้เลือกตำแหน่งที่น้อง ๆ อยากจะเป็นให้ดี ไม่ว่าจะนั่งเรียนหน้าห้องหรือหลังห้องก็ได้หมด ที่สำคัญคืออยากให้ใช้ชีวิตด้วยเหมือนกัน ถ้าตอนไหนไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
อาจจะออกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น อยู่ที่ตัวของน้อง ๆ เองว่าจะใช้ชีวิตแบบไหนหรือจัดการกับชีวิตของตัวเองยังไง
ให้ตัวเราเองไม่เครียดกับการเรียนมากจนเกินไป 

เรียนจบคณะแพทย์แล้วสบายจริงไหม ?

ได้รู้ทั้งวิธีการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ รวมถึงชีวิตการเป็นนักเรียนแพทย์ไปแล้ว แต่เนื้อหายังไม่หมดเท่านี้น้าา ต่อไปจะเข้าสู่พาร์ตการทำงานจริงในฐานะคุณหมอกันแล้วว ซึ่งบอกเลยว่าเนื้อหาพาร์ตนี้เข้มข้นมากกก เพราะมาจากประสบการณ์จริงของพี่หมออู๋ ใครที่อยากหาคำตอบว่าการทำงานของแพทย์จะเป็นยังไง ? จะรวยจริงไหม ? แล้วหลังเรียนจบสามารถไปต่อทางไหนได้บ้าง ? ก็อ่านหัวข้อถัดไปกันเลยย

พาร์ตการทำงานเป็นแพทย์ / ใช้ทุนคืน 3 ปี / เรียนต่อเฉพาะทาง

เมื่อเรียนจบแล้ว แพทย์จบใหม่หรือที่เรียกกันว่า Intern ก็จะต้องใช้ทุนคืน (การทำงานให้กับหน่วยงานของรัฐเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี แต่ก็จะได้เงินเดือนตามปกติ) ซึ่งพี่ก็ได้สรุปทางเลือกเกี่ยวกับการใช้ทุนมาทั้งหมด 3 ข้อ

1. ลาออก

อันนี้พี่ไม่ได้พูดเล่นน้าา มันเป็นเรื่องจริงง เพราะหลายคนเรียนแพทย์มา 6 ปี แล้วไม่ชอบการทำงานในโรงพยาบาลรัฐ
เลยตัดสินใจลาออกแล้วไปทำอย่างอื่นแทน เช่น ทำงานในโรงพยาบาลเอกชน ทำธุรกิจที่บ้าน เปิดคลินิก ซึ่งถ้าใคร
จะลาออก ก็จะต้องใช้เงินคืนให้รัฐด้วย ปัจจุบันคิดว่าน่าจะประมาณล้านกว่าบาทแล้ว (สมัยพี่หมออู๋ประมาณ 4 แสนบาท)

และถ้าใครคิดจะลาออก อาจจะส่งผลต่อการเรียนต่อเฉพาะทาง เพราะการเรียนต่อจะมีข้อกำหนดว่าต้อง
ผ่านการเพิ่มพูนทักษะอย่างน้อย 1 ปี ดังนั้นใครวางแผนจะเรียนต่อเฉพาะทางก็อาจจะโดนตัดโอกาสไปเลยทันที T_T

2. แพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

เป็นทางที่คนส่วนใหญ่เลือกมากกว่า 90% และต้องใช้ทุนคืนเป็นระยะเวลาทั้งหมด 3 ปี ซึ่งจะต้องจับฉลากเลือกพื้นที่
แต่บางคนก็มีเงื่อนไขที่กำหนดมาแล้ว เช่น แพทย์ที่มาจากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ต้องกลับไปใช้ทุน
ตามพื้นที่ที่สมัคร โดย 3 ปีที่ใช้ทุนก็จะแตกต่างกันตามนี้ 

  • ปี 1 (Internship) เป็นช่วงเพิ่มพูนทักษะ ซึ่งทุกคนจะได้ทำงานเหมือนแพทย์จริง ๆ อย่าง การตรวจคนไข้หรืออยู่เวร แต่ก็จะมีอาจารย์หมอหรือพี่ staff คอยดูแลและสอนสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม โดยปีนี้จะทำงานในโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลใหญ่ของจังหวัดนั้น  ๆ 
  • ปี 2-3 ส่วนใหญ่จะย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชน และอาจจะไม่มีคนคอยดูแลแล้ว

ซึ่งแพทย์ใช้ทุนจะต้องตรวจเอง รักษาเอง หรือทำเรื่องส่งคนไข้เข้าโรงพยาบาลใหญ่ และถ้าโรงพยาบาลไหนที่มีแพทย์แค่ 1-2 คน ก็ต้องสลับกันอยู่เวรด้วย

ขอแอบเล่าถึงความหนักของการเข้าเวรของแพทย์นิดหนึ่ง ตอนพี่เรียนจบใหม่ ๆ แล้วได้ไปเพิ่มพูนทักษะที่โรงพยาบาลจังหวัดแห่งหนึ่ง พี่ต้องอยู่เวร 15 ครั้งต่อเดือน และถ้าแผนกนั้นยุ่งมาก ๆ ก็แทบจะไม่ได้นอนเลย ความโหดคือ
เช้าวันถัดมาก็ต้องทำงานต่อเหมือนเดิม แต่มันก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยน้า ถ้าโรงพยาบาลนั้นมีแพทย์เยอะหน่อย
ก็จะไม่อยู่เวรหนักแบบพี่นั่นเอง

3. แพทย์ไม่ใช่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

เป็นแพทย์ของหน่วยงานรัฐอื่น ๆ แต่ว่าไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุข เช่น แพทย์ทหาร แพทย์ตำรวจ แพทย์สังกัดกทม. หรือเป็นอาจารย์แพทย์ในมหาลัยฯ ก็นับเป็นการใช้ทุนคืนเหมือนกัน

หลังจากใช้ทุนครบ 3 ปีแล้ว เส้นทางต่อไปของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บางคนเลือกเป็นหมอทั่วไปที่บ้านเกิดตนเอง หรือบางคนก็วางแผนเรื่องการเรียนต่อเฉพาะทาง ซึ่งระยะเวลาในการเรียนก็จะแตกต่างกันไป เช่น หมออายุรกรรม
หมอศัลยกรรมจะเรียนต่ออีก 4 ปี หรือใครอยากเรียนเฉพาะทางเกี่ยวกับศัลยกรรมระบบประสาทก็จะเรียนทั้งหมด 5 ปี 

และถ้าใครขอทุนไปเรียนต่อเฉพาะทางแล้ว ก็ต้องกลับมาใช้ทุนให้เท่ากับเวลาที่เรียนไปอีกรอบ นอกจากนั้น
ยังมีการเรียนเฉพาะในเฉพาะอีก เช่น พี่เรียนอายุรกรรม ก็สามารถเลือกเรียนเฉพาะอวัยวะได้ พูดตรง ๆ เลยว่าการเรียนแพทย์ไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ

Q&A การเรียนคณะแพทย์และการทำงานเป็นแพทย์

ได้รู้จักชีวิตของคนเป็นแพทย์ตั้งแต่เตรียมสอบเข้าจนถึงการทำงานไปแล้ว พี่ว่าน้อง ๆ คงจะได้ข้อมูลกันไปแบบจัดเต็มกันเลยใช่ไหมม แต่เท่านี้ก็ยังไม่หมดน้าา เพราะวันนี้พี่หมออู๋เตรียมมาตอบคำถามที่น้อง ๆ หลายคนอาจจะสงสัยกันอยู่ด้วย จะมีคำถามอะไรบ้าง เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลยย

Q : เรียนหมอแล้วรวยจริงไหม ?

เอาเป็นว่าพี่ก็จะบอกตัวเลขให้น้อง ๆ ลองไปคิดต่อดูว่าเงินเดือนมันเยอะจริงไหม ? ถ้าเทียบกับหน้าที่ ความหนักของ
การทำงาน อย่างช่วงที่พี่เป็นแพทย์จบใหม่ พี่ได้เงินเดือนประมาณ 20,000 บาท + เงินพิเศษ 10,000 บาท + เบี้ยเลี้ยงพิเศษประมาณ 40,00-50,000 บาทต่อเดือน + ค่าเวรต่อเดือน (ขึ้นอยู่กับต้นสังกัด) ประมาณ 30,000-40,000 บาท

รวมทั้งหมด 80,000 บาทต่อเดือน ตัวเลขเหมือนจะเยอะ เพราะชั่วโมงการทำงานของหมอมันเยอะมาก ที่พี่เคยเล่าว่า
ต้องอยู่เวร 15 วันต่อเดือน (แทบจะไม่ได้นอนเลย บางทีก็อดนอนต่อกัน 48 ชั่วโมง)

และถ้าใครคิดว่าเรียนจบเฉพาะทางจะต้องเงินเดือนสูงมาก จริง ๆ พี่ขอใช้คำว่าสูงขึ้น ไม่ได้สูงมากขนาดนั้น ยกเว้นว่า
น้อง ๆ จะเลือกไปทำงานโรงพยาบาลเอกชน อันนี้เงินเดือนก็จะเยอะกว่าอยู่โรงพยาบาลรัฐอยู่แล้ว

เงินเดือนแพทย์จบใหม่หลังเรียนจบคณะแพทย์

Q : พาร์ตที่ยากที่สุดและพาร์ตที่ดีที่สุดในการเรียนแพทย์คืออะไร ?

A : สิ่งที่ยากที่สุดในการเรียนแพทย์ก็คือ การสอบเข้าแพทย์ เพราะการแข่งขันสูงมาก น้อง ๆ ต้องใช้ความพยายามมากกว่าจะเข้ามาเรียนได้ ถึงแม้ระหว่างทางมันจะเครียดและเหนื่อย แต่ถ้าสอบติดแล้ว น้อง ๆ ก็จะได้มาเจอกับสังคมที่ช่วยกันเรียน สำหรับพี่คิดว่ามันค่อนข้างคุ้มค่า 

ส่วนพาร์ตที่ดีที่สุดในการเรียนหมอ คือ เมื่อมีคนใกล้ตัวหรือคนในครอบครัวป่วย พี่จะรู้ทันทีว่าต้องทำอะไรต่อ ? ต้องรักษาแบบไหน ? หรือต้องปรึกษาใครเกี่ยวกับอาการนี้ นอกจากนั้นการที่เห็นคนไข้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของพี่ มีอาการดีขึ้นหรือหายจากการเจ็บป่วย ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้พี่มีความสุขกับการเป็นแพทย์

Q : ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวไปไกลมาก ๆ คิดว่า AI สามารถแทนที่แพทย์ได้ไหม ?

A : การเป็นแพทย์ต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่าง อย่างแรกคือต้องมีความรู้ ส่วนอย่างที่ 2 คือต้องมีความเป็นมนุษย์
ซึ่งแน่นอนว่า AI สามารถแทนที่ในส่วนของความรู้ได้ เพราะ AI มีความแม่นยำและเก็บข้อมูลต่าง ๆ ได้ทั้งหมด 

แต่สิ่งที่ AI ไม่สามารถทำหน้าที่แทนหมอได้ คือ ความเป็นมนุษย์ ดังนั้นพี่คิดว่าหมอจำเป็นต้องอยู่กับ AI ให้เป็นและ
ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ให้ได้เยอะ ๆ มากกว่า

Q : คนที่อยากเรียนแพทย์ จะต้องมีนิสัย / คุณสมบัติ / ความถนัด ยังไงบ้าง ?

A : ต้องรู้จักอาชีพแพทย์ก่อน ว่าอาชีพนี้ต้องทำอะไร ? ต้องเจอกับอะไร ? เหนื่อยแค่ไหน ? และต้องยอมรับกับสิ่งที่จะต้องเจอในอนาคตให้ได้ ถ้ารู้สึกว่าไม่โอเคกับสิ่งเหล่านี้ น้อง ๆ อาจจะเดินในเส้นทางของการเป็นแพทย์ค่อนข้างยาก
ถ้าให้สรุปเลย พี่คิดว่ามีทัศนคติที่ดี สอบเข้าได้ แล้วก็ร่างกายไหว ก็สามารถเป็นแพทย์ได้ครับ

Q : อยากให้แชร์เรื่องที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับแพทย์ ?

A : เรียนจบแพทย์แล้วสบายครับ 55555 ช่วงที่สบายสุดคือช่วงเรียน 6 ปี เพราะน้อง ๆ จะมีเวลาได้พักผ่อนมากกว่า
ตอนเรียนจบ เพราะยิ่งเป็นแพทย์ก็ยิ่งเหนื่อยขึ้นเรื่อย ๆ ครับ 

ส่วนอีกข้อ คือ เป็นแพทย์แล้วรวย พี่ขอใช้คำว่าเป็นแพทย์แล้วมั่นคงมากกว่า เพราะเป็นอาชีพที่ตลาดต้องการ และโอกาสตกงานแทบจะเป็นศูนย์ แต่ก็ยังคงยืนยันว่าเป็นแพทย์แล้วไม่ได้รวยครับ

พออ่านจบแล้วรู้สึกว่าพี่หมออู๋เล่าแบบจัดเต็ม ไม่มีกั๊กทั้งเรื่องเรียนและเรื่องทำงาน สำหรับใครอ่านบทความนี้
แล้วรู้สึกว่าการเป็นแพทย์คือทางของเราแบบ 100% พี่ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับการเตรียมสอบเข้าคณะแพทย์ แต่ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกลังเลหรือไม่แน่ใจว่าจะไปต่อทางนี้ไหวไหม ? ก็ค่อย ๆ ตัดสินใจน้าา ลองชั่งน้ำหนักดูว่า การเป็นแพทย์สำหรับน้อง ๆ ดีหรือไม่ดียังไงบ้าง ชอบเนื้องานจริง ๆ ไหม 

เพราะที่จริงในโลกของการทำงานยังมีอาชีพอีกมากมายให้ทุกคนได้เลือกเป็นอีกเพียบเลยยย และบางเส้นทางอาจเป็นทางที่น้อง ๆ ชอบและรู้สึกว่าใช่กว่าการเรียนแพทย์ก็ได้ ดังนั้นพี่แนะนำว่าให้เลือกทางที่ชอบและรู้สึกว่าเรียนแล้วจะมีความสุขกันดีกว่า เพราะเราจะได้เรียนและทำงานได้อย่างมั่นคงไม่แพ้กับการทำอาชีพแพทย์เลย (และถ้าใครอยากรู้จักคณะและ
สายงานอื่น ๆ ก็สามารถเข้าไปอ่าน บทความรวมคณะ ได้น้า มีข้อมูลเจาะลึกของหลายคณะให้น้อง ๆ ทำความรู้จักเพียบ)

รีวิว #คณะแพทยศาสตร์ หมอเรียนอะไรบ้าง ? รายได้ดีจริงไหม ?

ดูคลิปอื่น ๆ ได้ที่ YouTube Channel : SmartMathPro

บทความ แนะนำ

บทความ แนะนำ

คณะแพทย์ เรียนอะไรบ้างใน 6 ปี
คณะแพทย์ เรียนอะไร? มีสาขาไหนบ้าง? สรุปทุกคำถามที่คนอยากเรียนแพทย์ควรรู้
TPAT1 คืออะไร? พร้อมเทคนิคอ่านหนังสือจากรุ่นพี่
สรุป TPAT1 มีอะไรบ้าง? แนวข้อสอบเป็นยังไง? พร้อมตารางอ่านหนังสือ Dek68
สรุป TPAT1 กสพท 68 ฉบับอัปเดตล่าสุด ตามแถลงการณ์
กสพท คืออะไร? กสพท 68 มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 67
A-Level คืออะไร ? ปี 68 สอบวิชาอะไรบ้าง ?
A-Level คืออะไร ? มีวิชาอะไรบ้าง อัปเดตล่าสุด ที่ Dek68 ควรรู้ !
Dek68 จะสอบเข้ามหาลัยฯ ต้องเตรียมตัวยังไง ?
Dek68 สอบเข้ามหาลัยฯ ควรเริ่มยังไง? สรุปทุกขั้นตอนควรรู้ของ TCAS68
เตรียมตัวอ่านหนังสือ TCAS68 ยังไงให้สอบติด
เตรียมสอบเข้ามหาลัยฯ TCAS68 ยังไง พร้อมแจกวิธีอ่านหนังสือให้ Dek68

สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ ที่อัปเดตอย่างเรียลไทม์ ได้ที่

Line : @smartmathpronews 

FB : Pan SmartMathPro ติวคณิต By พี่ปั้น 

IG : pan_smartmathpro

Twitter : @PanSmartMathPro 

Tiktok : @pan_smartmathpro

Share