
สวัสดีน้องๆ Dek67 ทุกคนน้า เชื่อว่าหลายคนที่คลิกเข้ามาที่บทความต้องมีความสงสัยเกี่ยวกับ TGAT (Thailand General Aptitude Test) ข้อสอบวัดความถนัดทั่วไป อยู่แน่เลยใช่น้าา ว่าทำไมมันถึงเรียก TGAT1, TGAT2, TGAT 3 แล้วแต่ละอันต่างกันยังไง ต้องเตรียมตอนนี้เลยดีไหม หรือว่ารอไปก่อนก็ได้
ซึ่งวันนี้พี่ๆ ทีมงาน SMP ได้เตรียมเนื้อหาเกี่ยวกับ TGAT 2 การคิดอย่างมีเหตุผล และ TGAT 3 สมรรถนะการทำงานในอนาคต มาอธิบายแบบละเอียดยิบทุกหัวข้อให้เข้าใจกันก่อนจะไปสอบจริง (แอบสปอยล์ว่ามีข้อสอบแจกฟรีให้ทุกคนได้ลองทำด้วยนะ) ถ้าใครพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยย !!
ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีหลักเกณฑ์เป็นของตัวเองซึ่งจะประกาศออกมาให้น้องๆ ได้รับทราบผ่านระเบียบการของมหาวิทยาลัย โดยสองสิ่งที่น้องๆ ควรจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ ค่าน้ำหนักคะแนนของรายวิชาที่ใช้ยื่นสมัคร
และเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำในรายวิชานั้นๆ
ค่าน้ำหนัก
ค่าที่บอกว่าวิชานั้นมีสัดส่วนคะแนนในการยื่นสอบเข้ามากน้อยแค่ไหน เช่น คณะ A กำหนดค่าน้ำหนัก TGAT 40% แล้วน้องๆ ได้คะแนน TGAT รวม 60 คะแนน (เต็ม 100) ก็จะได้คะแนนตรงนี้เท่ากับ 60 x 40% = 24 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100 ในการเข้าคณะนั้น) ที่สำคัญ คือ ค่าน้ำหนักไม่ได้มีผลว่าน้องจะสมัครได้หรือไม่น้าา ไม่ว่าน้องๆ จะได้คะแนนใน
รายวิชานั้นๆ เท่าไหร่ก็ตาม ก็สามารถยื่นผลคะแนนสมัครเรียนต่อได้ (แต่ถ้าได้เยอะก็จะได้เปรียบเนาะ)
เกณฑ์ขั้นต่ำ
คะแนนขั้นต่ำที่แต่ละคณะ/มหาวิทยาลัยตั้งเอาไว้ (บางสถาบันก็ไม่ได้กำหนด) โดยน้องๆ จะต้องมีคะแนนในรายวิชานั้นไม่ต่ำกว่าที่กำหนดไว้ตามระเบียบการ เช่น TGAT ของมหาวิทยาลัย A คณะ B ต้องใช้คะแนนขั้นต่ำ 40 % แปลว่า น้องต้องได้คะแนน TGAT 40 คะแนนขึ้นไป หากได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์นี้จะถือว่าน้องๆ ขาดคุณสมบัติและหมดสิทธิ์สมัครคณะนั้นๆ
สรุป คือ การนำคะแนนไปใช้ในรอบ Admission นั้น น้องๆ ต้องอ่านระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ดีเพราะอาจมีเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำ ในขณะเดียวกันค่าน้ำหนักคะแนนก็สำคัญในการคาดการณ์ว่าคะแนนของน้องๆ มีโอกาสสอบติดมากหรือน้อยแค่ไหน หลายครั้งเราต้องใช้ทั้งเกณฑ์ขั้นต่ำและค่าน้ำหนักในการพิจารณาคณะด้วยนะ !

TGAT คืออะไร ?
TGAT (Thai General Aptitude Test) คือ การสอบเพื่อวัดสมรรถนะทั่วไป ใช้เป็นหนึ่งในคะแนนสำหรับยื่นสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS โดยประกอบด้วย
- TGAT1 การสื่อสารภาษาอังกฤษ ( English communication )
- TGAT2 การคิดอย่างมีเหตุผล (Critical and Logical Thinking)
- TGAT3 สมรรถนะการทำงานในอนาคต (Future Workforce Competencies)
TGAT2 คืออะไร ? ทำไมต้องสอบ ?
จริงๆ แล้ว ข้อสอบ TGAT กับข้อสอบ GAT ไม่เหมือนกันเลยนะ แถมมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็ต้องใช้คะแนน TGAT ทั้ง 3 พาร์ทในการยื่นสอบเข้าด้วย ดังนั้นใครที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องเตรียมตัวสอบ TGAT ให้ดีๆ เลยนะ !!
พี่ๆ จะพาทุกคนมารู้จักกับข้อสอบ TGAT 2 กันก่อน ซึ่ง TGAT2 คือ ข้อสอบพาร์ทการคิดอย่างมีเหตุผล (Critical & Logical Thinking) โดยข้อสอบเป็นแบบปรนัย 5 ตัวเลือก มีเวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมง (สามารถแบ่งเวลาทำข้อสอบเองได้เลยย) และแบ่งหัวข้อย่อยออกเป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
TGAT2 มีอะไรบ้าง ?
TGAT ความสามารถทางภาษา
ความสามารถในการสื่อความหมาย คือ การวัดความรู้และทักษะการเลือกใช้คำให้ถูกต้องตามบริบทของโจทย์เพราะแต่ละคำมีหน้าที่แตกต่างกันเมื่อใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ย่อมสื่อความหมายที่แตกต่างกัน ซึ่งน้องๆ สามารถดูได้จากตัวอย่างด้านล่างนี้ได้เลย
(เครดิต : รูปภาพจาก mytcas.com)
ที่ถามว่าข้อใดมีความหมายแคบที่สุด ตัวเลือกข้อ 1-4 น้องๆ จะสังเกตได้ว่าโจทย์จงใจใช้คำว่า “เครื่อง” ซ้ำกัน เพื่อให้เราได้วิเคราะห์ตามบริบทว่า คำว่า “เครื่อง” ในบริบทนี้เป็นสิ่งที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่ และยังมีการใช้คำว่า “นี้” เพื่อทำให้มีความหมายแคบกว่าอันอื่นด้วย
ความสามารถในการใช้ภาษา คือ การวัดความรู้ ความสามารถในการเขียน พูดหรือสื่อสารออกไปอย่างมีกาลเทศะตามสถานการณ์ต่างๆ เมื่อน้องๆ เป็นผู้พูดหรือผู้ฟัง รวมไปถึงน้องๆ ต้องรู้ว่าหัวข้อที่กำลังสนทนาเป็นเรื่องอะไรเพื่อที่จะได้ใช้ถ้อยคำอย่างเหมาะสม
ความสามารถในการอ่าน คือ การวัดความสามารถในการอ่านจับใจความ ตีความ และสรุปความ รวมไปถึงหาจุดประสงค์ เจตนา และอารมณ์ของผู้เขียนซึ่งอาจจะสามารถอนุมานได้หรืออนุมานไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของน้องๆ ที่ต้องวิเคราะห์จากบทความสั้นๆ ที่ข้อสอบให้มา
ความสามารถในการเข้าใจภาษา คือ ข้อสอบที่เน้นการเข้าใจในสำนวน สุภาษิตไทยแล้วนำมาปรับใช้กับประโยค หรือในสังเกตว่าประโยคที่ให้มา ใช้คู่กับสำนวนแล้วสื่อความหมายได้ถูกต้องหรือไม่
TGAT ความสามารถทางตัวเลข
อนุกรมมิติ : อนุกรม (Number Series) คือ การหาความสัมพันธ์ของตัวเลขที่ให้มา และต้องมีความสัมพันธ์ในลักษณะที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยโจทย์จะให้หาตัวเลขตัวสุดท้ายหรือตัวที่หายไป ซึ่งวิธีในการหาอนุกรม จะไม่ตายตัวขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวเลขนั้นๆ
การเปรียบเทียบเชิงปริมาณ คือ โจทย์จะมีปริมาณทั้งหมด 3 ปริมาณ แล้วให้พิจารณาว่าปริมาณใดมีค่ามากที่สุด หรือทุกปริมาณมีค่าเท่ากัน หรือข้อมูลไม่เพียงพอที่จะเปรียบเทียบ
ความเพียงพอของข้อมูล คือโจทย์จะให้คำถามมา แล้วให้ข้อมูลมา 2 ข้อมูล น้องๆ จะต้องพิจารณาว่า ใช้ข้อมูลใดที่สามารถหาคำตอบได้ทันที แต่บางข้ออาจใช้ข้อมูลใดก็ได้ บางข้อต้องใช้ทั้งสองข้อมูลร่วมกันจึงจะหาคำตอบได้ และบางข้อแม้จะใช้ข้อมูลทั้งสองก็ยังไม่เพียงพอที่จะตอบคำถาม น้องจะต้องคิดโจทย์ส่วนนี้ให้ดีๆ นะ
โจทย์ปัญหา คือ โจทย์ทางคณิตศาสตร์ แต่จะเป็นการคำนวณโดยใช้ความรู้ไม่เกินมัธยมศึกษาตอนต้น โดยบางข้ออาจใช้การทำตรงๆ หรืออาจใช้มุมมองบางอย่างในการคำนวณอย่างรวดเร็วก็เป็นไปได้
TGAT ความสามารถทางมิติสัมพันธ์
ข้อสอบด้านมิติสัมพันธ์ คือ ข้อสอบที่น้องๆ จะต้องมองภาพและคาดเดาภาพในมุมต่างๆ ข้อสอบส่วนนี้จะมีลักษณะ
4 แบบย่อย คือ แบบพับกล่อง / แบบหาภาพต่าง / แบบหมุนภาพสามมิติ / แบบประกอบภาพ
TGAT ความสามารถทางเหตุผล
ความสามารถทางเหตุผล คือ ข้อสอบที่น้องๆ จะต้องมองภาพ มี 4 ด้าน คือ อนุกรมภาพ / อุปมาอุปไมยภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ต้องอ่านเพื่อวิเคราะห์ความและสรุปความด้วย
TGAT2 มีกี่ข้อ ? คิดคะแนนยังไง ?
จากข้อสอบทั้งหมด 4 ส่วนจะรวมกันได้ทั้งหมด 80 ข้อซึ่งต้องมาแปลงเป็น 100 คะแนนอีกที โดยสามารถคำนวนได้ตามนี้เลยย
คะแนน TGAT2 (เต็ม 100) = คะแนน TGAT2 (เต็ม 80) × 5 ÷ 4
ตัวอย่าง ถ้าน้องได้คะแนนจากทุกพาร์ทรวมกัน 40 คะแนน จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน จะได้เป็น คะแนน TGAT2 = 40 × 5 ÷ 4 = 50 คะแนน
เริ่มติว TGAT2,3 ตอนนี้คะแนนดีทันสอบแน่นอน !!
ติว(แหก)โค้งสุดท้ายกับคอร์สพิชิต TGAT2,3 โดยพี่ปั้นและ อ.ขลุ่ย สอนปูพื้นฐาน พร้อมพาลุยโจทย์จัดเต็ม สอนจบใน 40 ชั่วโมง (แถมฟรี Unseen Mock Test อีก 1 ชุด)
สมัครคอร์ส คลิกเลยTGAT 3 คืออะไร ? ทำไมต้องสอบ ?
TGAT3 คือ ข้อสอบสมรรถนะการทำงานในอนาคต (Future Workforce Competencies) เป็นส่วนหนึ่งข้อสอบของ TGAT ที่เน้นให้น้องๆ ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ บทบาท หน้าที่หรือเงื่อนไขต่างๆ โดยต้องทำความเข้าใจความต้องการของโจทย์ และสำคัญที่สุดก็คือ เข้าใจวิธีการตอบคำถาม ซึ่งทุกคำตอบจะมีคะแนนที่แตกต่างกันออกไปตั้งแต่ 0 – 1 คะแนน (0, 0.25, 0.50, 0.75, 1)
ซึ่งข้อสอบ TGAT3 ทั้งหมดมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน มีเวลาทำข้อสอบ 3 ชั่วโมง (สามารถแบ่งเวลาทำข้อสอบเองได้เลยย) ถ้าน้องๆ เตรียมตัวไว้ล่วงหน้า รู้จักโครงสร้างข้อสอบ จำนวนข้อที่ต้องตอบและสำคัญ คือ วิธีการตอบ
ก็จะทำให้เราเก็บคะแนนใน TGAT3 ได้ไม่ยากเลยย เพราะทุกข้อมีคะแนนหมดนั่นเอง ^__^
TGAT3 มีอะไรบ้าง ?
TGAT การสร้างคุณค่าและนวัตกรรม
การสร้างงคุณค่าและวัฒนธรรม คือ การอ่านข้อสอบและวิเคราะห์สถานการณ์โดยใช้หลัก Critical thinking + Data sufficiency + Logical reasoning เพื่อเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น หาแนวทางในการแก้ไขปัญหา และหาทางเลือกใหม่ๆ เพื่อพลิกวิกฤติเป็นโอกาส เช่น การคิดต้นทุนของสินค้า การหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น การกำหนดประเด็นสนับสนุนหรือประเด็นโต้แย้งกับข้อความที่โจทย์ให้มา การแก้ปัญหารวมถึงการสร้างโอกาสใหม่โดยใช้จุดแข็งที่มี มีจำนวน 15 ข้อ ซึ่งคำตอบทุกตัวเลือกจะมีคะแนน ซึ่งไล่ตั้งแต่ 0-1 คะแนน (0, 0.25, 0.50, 0.75, 1)
TGAT การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
การแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน คือ ข้อสอบที่ประกอบด้วยส่วนของสถานการณ์สมมติ และอิงตามสถานการณ์ โดย 1 สถานการณ์จะใช้ตอบคำถาม 3 – 4 ข้อ เท่านั้นยังไม่พอ บางข้อยังมีวิธีการตอบได้หลายคำตอบ ซึ่งเป็นการตอบ
ที่เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษด้วย มีทั้งหมด 15 ข้อ อ้างอิงจาก Blueprint ตามนี้เลยย

TGAT การบริหารจัดการอารมณ์
การบริหารจัดการอารมณ์ คือ ข้อสอบที่ประกอบด้วยความตระหนักรู้ในตนเอง การควบคุมอารมณ์และบุคลิกภาพ ความเข้าใจผู้อื่น เป็นข้อสอบแบบวัดทัศนคติ 4 ระดับ มีจำนวน 15 ข้อ โดยทุกคำตอบจะมีคะแนนลดหลั่นไปตามความถูกต้องของคำตอบ ตั้งแต่ 0-1 คะแนน เหมือนกับพาร์ทการสร้างคุณค่าและนวัตกรรม
TGAT การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมของสังคม
การเป็นพลเมืองที่มีส่วนร่วมของสังคม คือ ข้อสอบประกอบด้วย การมุ่งเน้นการบริการสังคม จิตสำนึกและรับผิดชอบ
ต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ของท้องถิ่น เป็นข้อสอบแบบวัดทัศนคติ 4 ระดับ มีจำนวน 15 ข้อ
โดยทุกคำตอบจะมีคะแนนลดหลั่นไปตามความถูกต้องของคำตอบ ตั้งแต่ 0-1 คะแนน เหมือนกับพาร์ทก่อนหน้า
TGAT3 มีกี่ข้อ ? คิดคะแนนยังไง ?
น้องๆ อาจจะสังเกตได้ว่าข้อสอบนั้นแม้จะมีคะแนนหลายแบบแต่ก็สูงสุดที่ 1 คะแนนและจำนวนข้อก็มีเพียง 60 ข้อเท่านั้น
ในส่วนของ TGAT3 ซึ่งถ้าหากน้องๆ ต้องการคำนวณคะแนนด้วยตัวเองก็จะต้องทำตามนี้น้า
ตัวอย่าง ถ้าน้องได้คะแนนจากทุกพาร์ทรวมกัน 45 คะแนน จากคะแนนเต็ม 60 คะแนน จะได้เป็น
คะแนน TGAT3 (เต็ม 100) = คะแนน TGAT3 (เต็ม 60) × 5 ÷ 3
ตัวอย่าง ถ้าน้องได้คะแนนจากทุกพาร์ทรวมกัน 45 คะแนน จากคะแนนเต็ม 60 คะแนน จะได้เป็น คะแนน TGAT3 = 45 × 5 ÷ 3 = 75 คะแนน
รูปแบบการสอบ TGAT
สำหรับ TCAS67 สามารถเลือกสอบ TGAT ได้ทั้งคอมพิวเตอร์และกระดาษ แถมค่าสมัครสอบยังราคาเท่ากันด้วย
คือ 140 บาท เพราะปี 66 เป็นปีแรกที่มีการสอบด้วยคอมพิวเตอร์ ทางทปอ.จึงลดราคาให้เท่ากับการสอบด้วยกระดาษ
ขอกระซิบเพิ่มเติมน้า การสอบด้วยคอมพิวเตอร์จะใช้ระบบเดียวกับการสอบ PISA (Programme for International Student Assessment) หรือการประเมินสมรรถนะผู้เรียนตามมาตรฐานสากล ถ้าใครอยากรู้คะแนนสอบแบบเร็วๆ
ก็สามารถเลือกสอบแบบคอมพิวเตอร์ได้เลย !!
ป.ล. การสอบแบบคอมพิวเตอร์ไม่ใช่การสอบ online ที่บ้านน้า แต่เป็นการสอบตามสนามสอบที่ทปอ.จัดไว้ให้เท่านั้น
สำหรับน้องๆ คนไหนที่จะสอบ TGAT อย่าลืมสมัครสอบ TGAT TPAT ใน mytcas กันด้วยน้า ส่วนขั้นตอนสมัครก็ไม่ยากและวุ่นวายอย่างที่คิด ! สามารถคลิกไปดูสรุปขั้นตอนสมัครสอบที่พี่ทำไว้ให้ได้เลยยย
ต้องสอบ TGAT ให้ครบทุกพาร์ทมั้ย ?
ไม่บังคับสอบน้า เพราะน้องๆ จะได้รับข้อสอบครบทั้ง 3 พาร์ทตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งทุกคนสามารถจัดสรรเวลาในการทำข้อสอบ หรือเลือกพาร์ทที่จะสอบได้เลย แต่พี่ๆ ทีมงานแนะนำให้สอบครบทั้ง 3 พาร์ทดีกว่าน้า เพราะมหาวิทยาลัย
ส่วนใหญ่กำหนดใช้คะแนน TGAT ครบทุกพาร์ทอยู่แล้ว
ข้อสอบ TGAT เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ?
สำหรับ TGAT 1 การสื่อสารภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาอังกฤษตามชื่อของข้อสอบอยู่แล้ว แต่ TGAT 2 และ TGAT 3
น้องๆ ทุกคนสามารถเลือกสอบเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษก็ได้
ถึงแม้สิ่งที่ออกสอบจะไม่ใช่เรื่องที่เรียนในโรงเรียน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แค่น้องๆ หมั่นฝึกทำโจทย์บ่อยๆ
ฝึกคิดวิเคราะห์ หรือจะลองเรียนพิเศษเพิ่มเติมก็ดีเหมือนกันน้า
ควรได้คะแนน TGAT2 TGAT3 เท่าไหร่ ?

จริงๆ แล้ว มันขึ้นอยู่กับความยากง่ายของข้อสอบ (ถ้าข้อสอบง่าย คะแนนจะเฟ้อ ถ้าข้อสอบยาก คะแนนจะฝืด) แต่ก็มีปัจจัยอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน เช่น เกณฑ์คะแนนขั้นต่ำ แต่ถ้า Dek67 ทุกคนเตรียมตัวอ่านหนังสืออย่างเต็มที่และฝึกทำโจทย์เยอะๆ ไม่ว่าจะเจอกับข้อสอบแบบไหนก็ทำได้แน่นอน !!
สำหรับน้องๆที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ Line : @smartmathpronews
รวมถึงข่าวสารต่างๆ อัปเดตอย่างเรียลไทม์
IG : pan_smartmathpro
Twitter : @PanSmartMathPro