ฟิสิกส์อะตอม เป็นบทที่น้อง ๆ ม.6 อาจคุ้นเคยชื่อนี้กันเป็นอย่างดี และอาจเป็นบทสุดหินของหลาย ๆ คน เนื่องจากมีทฤษฎีให้ต้องเข้าใจและจำเยอะมาก แถมยังเป็นเรื่องที่ออกสอบใน A-Level ฟิสิกส์อีกด้วย สำหรับคนที่งงเรื่องนี้อยู่ ไม่ต้องห่วงน้า วันนี้พี่สรุปเนื้อหาฟิสิกส์อะตอมมาให้ทุกคนอ่านพร้อมโจทย์และเฉลยมาให้ครบแล้ว ไปอ่านกันเลยยย
สนใจหัวข้อไหน ... กดอ่านเลย
Toggleฟิสิกส์อะตอม คืออะไร ?
ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ มนุษย์มีความเชื่อว่าสสารทั้งมวลประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดที่แบ่งแยกไม่ได้ หรือที่เรียกว่า อะตอม อย่างไรก็ตาม กว่าที่แนวคิดนี้จะก้าวข้ามปรัชญาไปสู่การเป็นวิทยาศาสตร์เชิงทดลองได้อย่างชัดเจน ก็ต้องใช้เวลานับศตวรรษ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การศึกษาพฤติกรรมของแสงและสสารในระดับที่เล็กที่สุดได้นำไปสู่การถือกำเนิดของฟิสิกส์อะตอม
ฟิสิกส์อะตอม คือ สาขาพื้นฐานที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจโครงสร้างภายในของอะตอมและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอม การจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส อันตรกิริยาระหว่างอะตอมกับสิ่งอื่น ๆ จนเกิดเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมต่าง ๆ มากมายในเวลาต่อมา
สมมติฐานของพลังค์และทฤษฎีอะตอมของโบร์
การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดำ
จากการทดลองพบว่า วัตถุทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส หากมีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์องศาสัมบูรณ์ (0\text{ K}) จะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเสมอ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมานั้นมีความถี่ต่อเนื่อง เรียกว่า สเปกตรัมต่อเนื่อง และมีความยาวคลื่นสูงสุด (\lambda_{max}) ขึ้นกับอุณหภูมิของวัตถุนั้น ๆ ดังรูป
นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับการแผ่ออกมาของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กระจายออกมาในแต่ละช่วงความยาวคลื่น โดยใช้แนวคิดจากทฤษฎีฟิสิกส์แบบฉบับ (classical physics) พบว่า สมการที่ได้จะตรงกับผลการทดลองในช่วงความยาวคลื่นมากเท่านั้น ส่วนในช่วงความคลื่นสั้น สมการที่ได้กลับไม่ตรงกับผลการทดลองจริง ดังรูป
ในปี พ.ศ. 2443 มักซ์ พลังค์ (Max Planck) ได้เสนอแนวคิดปฏิวัติวงการฟิสิกส์เพื่ออธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำ ซึ่ง
ไม่ได้หมายถึงวัตถุสีดำ แต่หมายถึงวัตถุในอุดมคติที่สามารถดูดกลืนรังสีได้หมด และ แผ่รังสีออกมาได้ดีที่สุดในทุกช่วงความถี่ที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ
โดยมีใจความสำคัญ 2 ข้อ
- การแผ่และการดูดกลืนพลังงานของวัตถุจะเกิดขึ้นเป็นก้อนหรือชุด ๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง (Discrete) เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน (Quantum of Energy)
- พลังงานของควอนตัมแต่ละชุดจะมีค่าเป็นจำนวนเต็มเท่าของ hf หรือ \varepsilon เขียนเป็นสมการได้ว่า
E=n\varepsilon=nhf
โดย
E คือ พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดูดกลืน หรือ แผ่ออกมา
n คือ เลขควอนตัม เป็นจำนวนเต็มบวก (เช่น n=1,\ 2,\ 3,\ \ldots ซึ่งแสดงถึงจำนวนโฟตอน)
h คือ ค่าคงตัวของพลังค์ (Planck’s constant) มีค่าประมาณ 6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}
จงหาควอนตัมของพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ 8.00\times{10}^{11}\text{ Hz}
วิธีทำ จาก \varepsilon=hf
แทนค่า h=6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s} และ f=\ 8.00\times{10}^{11}\text{ Hz}
\varepsilon=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\left(8.00\times{10}^{11}\ \right)
\varepsilon=5.30\times{10}^{-22}\text{ J}
ตอบ ควอนตัมของพลังงานเท่ากับ 5.30\times{10}^{-22}\text{ J}
ทฤษฎีอะตอมของโบร์
แบบจำลองอะตอม
แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตามหลักฐานการทดลองที่ค้นพบใหม่ ๆ ในแต่ละยุคสมัย โดยสามารถสรุปการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของแบบจำลองได้ดังนี้
แบบจำลองอะตอมในยุคแรกถูกเสนอโดย จอห์น ดอลตัน โดยระบุว่าอะตอมเป็นเพียง ทรงกลมตัน ที่เล็กที่สุด ไม่ได้สามารถแบ่งแยกและทำลายได้ ซึ่งอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีสมบัติเหมือนกัน แต่จะมีสมบัติต่างจากอะตอมของธาตุอื่น อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ไม่สามารถอธิบายการมีอยู่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าภายในอะตอมได้
หลังจากการค้นพบอิเล็กตรอน ทอมสัน ได้เสนอแบบจำลองที่อะตอมเป็นทรงกลมที่เป็นเนื้อเดียวกันของ ประจุบวก ซึ่งมี อิเล็กตรอน กระจายอยู่ในเนื้อทรงกลม เพื่อทำให้อะตอมอยู่ในสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้า
จากการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาผ่านแผ่นทองคำบาง เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ค้นพบว่าอะตอมมีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ และประจุบวกส่วนใหญ่อัดแน่นอยู่ในบริเวณเล็ก ๆ ตรงกลางที่เรียกว่า นิวเคลียส จึงนำไปสู่แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งมองว่าอะตอมมีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางและมีอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบ ๆ อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้มีข้อบกพร่องตามหลักฟิสิกส์แบบฉบับที่ว่าอิเล็กตรอนควรจะสูญเสียพลังงานและตกลงไปในนิวเคลียส
นอกจากปัญหาเรื่องความไม่เสถียรของอิเล็กตรอน ยังมีอีกหนึ่งปัญหา คือ ไม่สามารถอธิบายการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแก๊สร้อนและเย็นที่แผ่ออกมาเฉพาะบางค่าวามถี่ และยังพบว่าแก๊สแต่ละชนิดจะมีชุดสเปกตรัมที่แตกต่างกัน
นีลส์ โบร์ ได้เสนอแบบจำลองอะตอมไฮโดรเจนโดยอาศัยแนวคิดของรัทเทอร์ฟอร์ด และแนวคิดของพลังค์ โดยสมมติฐานใหม่ 2 ข้อ
- อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบนิวเคลียสโดยไม่ปล่อยพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ในวงโคจรที่เสถียรนี้ อิเล็กตรอนจะมีโมเมนตัมเชิงมุมคงตัว โดยเป็นจำนวนเท่าของ \bar{h}
L=mvr=n\bar{h}
โดย
L คือ ขนาดโมเมนตัมเชิงมุม
n คือ เลขควอนตัม เป็นจำนวนเต็มบวก
\bar{h} คือ ค่าคงตัว มีค่าเท่ากับ \frac{h}{2\pi}
m คือ มวลของอิเล็กตรอน
r คือ รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน
2. อิเล็กตรอนจะรับหรือปล่อยพลังงานทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนวงโคจร โดยพลังงานที่อิเล็กตรอนรับหรือปล่อยจะอยู่ ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตามสมการ
\left|E_i-E_f\right|=hf
โดย
E_i คือ พลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่วงโคจรชั้นนอก
E_f คือ พลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่วงโคจรชั้นใน
รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน
r_n=a_0n^2
โดย a_0=0.529\times{10}^{-10}\text{ m} เรียกว่า รัศมีโบร์ (Bohr radius)
ระดับพลังงานของอะตอมไฮเดรเจน (hydrogen energy level)
ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจน สามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้
E_n=\frac{-13.60}{n^2}\text{ eV}
โดยที่ n คือ ระดับชั้นพลังงาน
เมื่ออิเล็กตรอนอยู่ในวงโคจรชั้นในสุด (n=1) อะตอมจะมีพลังงานต่ำสุด เรียกว่า สถานะพื้น ซึ่งอะตอมจะมีเสถียรภาพมากที่สุด
เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงาน จะทำให้อิเล็กตรอนไปอยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่า เรียกว่า สถานะกระตุ้น อะตอมที่อยู่ในสถานะกระตุ้นพร้อมจะกลับสู่สถานะที่ต่ำกว่าตลอดเวลา และจะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสเปกตรัมสีต่าง ๆ ดังตัวอย่างสเปกตรัมของไฮโดรเจน
อิเล็กตรอนตัวหนึ่งโคจรรอบนิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจน โดยมี n=2 จงหา
ก.รัศมีวงโคจร
ข.ถ้าอิเล็กตรอนกลับสู่สถานะพื้น จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นเท่าใด
วิธีทำ
ก. รัศมีวงโคจร
จาก r_n=a_0n^2
แทนค่า r_2={\left(0.529\times{10}^{-10}\right)2}^2
r_2=4\left(0.529\times{10}^{-10}\right)
r_2=2.116\times{10}^{-10}\text{ m}
ตอบ รัศมีวงโคจรเท่ากับ 2.116\times{10}^{-10}\text{ m}
ข.ถ้าอิเล็กตรอนกลับสู่สถานะพื้น จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นเท่าใด
จาก E_i-E_f=hf
แทนค่า E_2-E_1=hf
-3.40-(-13.60)=h\frac{C}{\lambda}
10.2=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\frac{3\times{10}^8}{\lambda}
\lambda=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\frac{3\times{10}^8}{10.2}
\lambda=1.95\times{10}^{-26}\text{ m}
ตอบ ความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่ากับ 1.95\times{10}^{-26}\text{ m}
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก
ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) เป็นปรากฏการณ์ที่อิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะเมื่อมีแสงที่มีความถี่เหมาะสมมาตกกระทบโดยเรียกอิเล็กตรอนที่หลุดออกมานี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน (photoelectron) และเกิดกระแสโฟโตอิเล็กตรอน (photoelectric current) ถูกค้นพบโดย ไฮน์ริช รูดอล์ฟ แฮทซ์ (Heinrich Rudolf Hertz)
ผลการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก สรุปได้ดังนี้
- โฟโตอิเล็กตรอนเกิดขึ้นเมื่อแสงที่ตกกระทบกับโลหะมีความถี่สูงถึงค่า ๆ หนึ่ง
- จำนวนโฟโตอิเล็กตรอนที่ปลดปล่อยออกมา ขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง
3. พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นกับความเข้มของแสง แต่ขึ้นกับความถี่ของแสง
ฟังก์ชันงานและพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้นำสมมติฐานควอนตัมของพลังค์มาใช้อธิบายผลการทดลองของเฮิรตซ์ โดยเสนอว่าแสงมีสมบัติเป็นอนุภาคที่เรียกว่า โฟตอน (photon) โดยแต่ละโฟตอนมีพลังงานเท่ากับ hf ลำแสงความถี่ f จึงประกอบด้วยโฟตอนจำนวนมาก
เมื่อแสงความถี่ f ตกกระทบบนผิวโลหะ ถ้าความถี่ f ของแสงที่ใช้มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับความถี่ค่าหนึ่งที่เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) f_0 ก็จะมีโฟโตอิเล็กตรอนหลุดออกมา
ไอน์สไตน์อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกนี้ได้โดยอาศัยสมมติฐานควอนตัมของพลังงานของแสงของพลังค์ข้างต้น และกฎการอนุรักษ์พลังงาน ว่าโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา เกิดจากโฟตอน 1 โฟตอน ชนและถ่ายโอนพลังงานทั้งหมดให้กับอิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอน ตามสมการ
hf=W+E_{k_{max}}
โดย
hf คือ พลังงานของโฟตอนที่มีความถี่ f ที่ฉายลงบนผิวโลหะ
W คือ พลังงานที่น้อยที่สุดของโฟตอนที่ทำให้มีโฟโตอิเล็กตรอนได้ มีค่าเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนในโลหะ
E_{k_{max}} คือ พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
เราสามารถเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของโฟตอนที่ตกกระทบผิวโลหะ ซึ่งอยู่ในรูปของสมการเส้นตรง โดยมีความชันของเส้นตรง คือ ค่าคงตัวของพลังค์ คือ (h) และ มีจุดตัดแกนตั้ง คือ -W ดังรูป
ฟังก์ชันงาน
อิเล็กตรอนถูกยึดเหนี่ยวด้วยพลังงานภายในอะตอมของสสาร การจะดึงอิเล็กตรอนออกจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานอย่างน้อยค่าหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ฟังก์ชันงาน (work function)”
- หากพลังงานของโฟตอนที่ตกกระทบมีค่า น้อยกว่า ฟังก์ชันงาน (hf\lt W) หรือ (f\lt f_0)อิเล็กตรอนจะ ไม่หลุดออกมา
- หากพลังงานของโฟตอนที่ตกกระทบมีค่า มากกว่าหรือเท่ากับ ฟังก์ชันงาน (hf\geq\ W) หรือ (f\geq\ f_0) อิเล็กตรอนจะ หลุดออกมาจากผิวโลหะได้
เมื่อความถี่ของแสงมีค่าเท่ากับความถี่ขีดเริ่ม (f=f_0) จะเริ่มเกิดโฟโตอิเล็กตรอนพอดี และโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานจลน์สูงสุดเป็นศูนย์ เราสามารถคำนวณฟังก์ชันงาน (W) ของโลหะได้จากสมการ
W=hf_0
ซึ่งหมายถึง พลังงานยึดเหนี่ยวของอิเล็กตรอนในโลหะหนึ่ง ๆ นั่นเอง
ตัวอย่าง ฟังก์ชันงานของโลหะบางชนิดแสดงดังตาราง
พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
เราสามารถหาค่าพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนจากการทดลองได้โดยการต่อวงจรเพื่อวัด “ศักย์ไฟฟ้าหยุดยั้ง” ซึ่งเป็นศักย์ไฟฟ้าที่มากพอจะหยุดยั้งโฟโตอิเล็กตรอนที่มีพลังงานจลน์สูงสุดไม่ให้ไปถึงแอโนดได้ ดังรูป
หากโฟโตอิเล็กตรอนมีพลังงานจลน์สูงสุดมากขึ้น จะต้องเพิ่มความต่างศักย์หยุดยั้งให้มากขึ้นด้วย ดังนั้น ความต่างศักย์หยุดยั้งจึงเป็นค่าที่บ่งบอกพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนได้โดยตรง
เมื่อทำการทดลองโดยใช้แสงที่มีความเข้มเพิ่มขึ้น พบว่า กระแสในวงจรจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีโฟโตอิเล็กตรอนถูกปล่อยออกมามากขึ้น แต่ค่าศักย์หยุดยั้งจะยังคงเท่าเดิม แสดงว่า พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นกับความเข้มของแสง แต่ขึ้นกับความถี่ของแสงที่มากระทบ
ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์สามารถแสดงได้ด้วยกราฟ ดังรูป
ฉายแสงที่มีความถี่ 1.25\times{10}^{15}\text{ Hz} ไปที่ผิวโลหะหนึ่ง ถ้าความถี่ขีดเริ่มมีค่าเป็น 5.10\times{10}^{14}\text{ Hz} จงหาฟังก์ชันงานของโลหะและ พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ตามลำดับ
1. 2.11\text{ eV},\ 2.75\text{ eV}
2. 2.11\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}
3. 5.20\text{ eV},\ 2.75\text{ eV}
4. 5.20\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}
วิธีทำ หาฟังก์ชันงาน จากสมการ W=hf_0
W=\left(6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}\right)\left(5.10\times{10}^{14}\text{ Hz}\right)
W=3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J}
W=\frac{3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{J/eV}}
W=2.11\text{ eV}
ดังนั้น ฟังก์ชันงานของโลหะนั้นมีค่าเท่ากับ 2.11 อิเล็กตรอนโวลต์
หาพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน จากสมการ E_{k_{max}}=hf-W
E_{k_{max}}=\left(6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}\right)\left(1.25\times{10}^{15}\text{ Hz}\right)-(3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J})
E_{k_{max}}=4.90\times{10}^{-19\ }\text{ J}
E_{k_{max}}=\frac{4.90\times{10}^{-19\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{J/eV}}
E_{k_{max}}=3.06\text{ eV}
ดังนั้น พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 3.06 อิเล็กตรอนโวลต์
ตอบ ข้อ 2 2.11\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
สมมติฐานของเดอบรอยล์
เดอบรอยล์ได้เสนอแนวคิดว่า “ในเมื่อแสงซึ่งประพฤติตัวเป็นคลื่น สามารถแสดงสมบัติของอนุภาคได้ สิ่งที่เป็นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน ก็น่าจะแสดงสมบัติของคลื่นได้เช่นกัน”
ตามสมมติฐานของเดอบรอยล์ (de Broglie’s hypothesis) อนุภาคที่ประพฤติตัวเป็นคลื่นจะมีความยาวคลื่น (\lambda) ซึ่งเรียกว่า ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ (de Broglie wavelength) ซึ่งมีค่าขึ้นกับโมเมนตัม (P) ของอนุภาค ตามสมการ
\lambda=\frac{h}{P}=\frac{h}{mv}=\frac{h}{\sqrt{2mE_k}}
โดย \lambda คือ ความยาวคลื่นของอนุภาค
P คือ โมเมนตัมของอนุภาค
m คือ มวลของอนุภาค
v คือ ความเร็วของอนุภาค
E_k คือ พลังงานจลน์ของอนุภาค
เดอ บรอยล์ได้อธิบายสมมติฐานของโบร์ว่า การโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสไม่เกิดการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เนื่องจากอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่รอบนิวเคลียสแสดงสมบัติเป็นคลื่นนิ่งได้ โดยมีความยาวเส้นรอบวงของวงโคจรมีค่าเป็นจำนวนเต็มเท่าของความยาวคลื่นของอิเล็กตรอน ดังรูป
ช่วงความยาวคลื่นที่ทำให้เกิดคลื่นนิ่ง สามารถเขียนความสัมพันธ์ ได้ดังนี้
2\pi\ r=n\lambda เมื่อ (n=1,\ 2,\ 3,\ \ldots)
2\pi\ r=n\left(\frac{h}{mv}\right)
mvr=n\left(\frac{h}{2\pi}\right)
mvr=n\bar{h}
โดย
r คือ รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน
\lambda คือ ความยาวคลื่น
อธิบายสมมติฐานของโบร์ที่ว่า มีวงโคจรบางวงที่อีเล็กตรอนที่เคลื่อนรอบนิวเคลียสโดยไม่มีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และอิเล็กตรอนจะมีขนาดโมเมนตัมเชิงมุม L=mvr=n\bar{h}
อิเล็กตรอนที่ประพฤติตัวเป็นคลื่นมีความยาวคลื่น 0.20 นาโนเมตร จะมีโมเมนตัมและพลังงานเท่าใด
วิธีทำ หาโมเมนตัมของอิเล็กตรอน จากสมการ P=\frac{h}{\lambda}
P=\frac{6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}}{0.20\times{10}^{-9\ }\text{m}}
P=3.31\times{10}^{-24\ }\text{kg}\cdot \text{m/s}
ดังนั้น โมเมนตัมของอิเล็กตรอน มีค่าเท่ากับ 3.31\times{10}^{-24\ }\text{kg}\cdot \text{m/s}
หาพลังงานของอิเล็กตรอน จากสมการ E=\frac{P^2}{2m}
E=\frac{{(3.31\times{10}^{-24\ }\text{ kg}\cdot \text{m/s}})^2}{2(9.11\times{10}^{-31\ }\text{ kg})}
E=6.01\times{10}^{-18\ }\text{ J}
E=\frac{6.01\times{10}^{-18\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{ J/eV}}
E=37.6\text{ eV}
ดังนั้น พลังงานของอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 37.6\text{ eV}
ตอบ อิเล็กตรอนมีโมเมนตัมและพลังงาน 3.31\times{10}^{-24\ }\text{ kg}\cdot \text{m/s} และ 37.6\text{ eV} ตามลำดับ
ติว A-Level ฟิสิกส์ กับ SmartMathPro
พี่ขอแนะนำตัวช่วยอย่าง คอร์สเตรียมสอบมหาลัยฯ ของ SmartMathPro เลยย มีให้เลือกมากมายทั้งสนาม TGAT / TPAT หรือ A-Level และสอนโดยติวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละวิชาด้วย
โดยในแต่ละคอร์สจะสอนปูพื้นฐานแบบละเอียด อิงตาม Test Blueprint ปีล่าสุด (ใครที่พื้นฐานไม่แน่นก็สามารถเรียนได้) พร้อมพาตะลุยโจทย์แบบไต่ระดับ ตั้งแต่โจทย์ซ้อมมือไปจนถึงข้อสอบเก่าหรือโจทย์ที่ใกล้เคียงกับข้อสอบจริง แถมยังแจกเทคนิคในการทำข้อสอบที่จะช่วยให้น้อง ๆ ทำข้อสอบได้เร็วขึ้นและช่วยเพิ่มโอกาสในการอัปคะแนนให้อีกด้วย สำหรับน้อง ๆ คนไหนที่สมัครตอนนี้ รับฟรี Unseen Mock Test ชุดพิเศษ และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ประจำเดือน ถ้าใครสนใจ คลิก เข้ามาดูรายละเอียดแต่ละคอร์สได้เลยยย
ข้อสอบฟิสิกส์อะตอมพร้อมเฉลย
1. จากแบบจำลองอะตอมไฮโดรเจนของโบร์ ถ้ารัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะกระตุ้นที่สองของอะตอมไฮโดรเจนเป็น a
คำถาม รัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะพื้นเป็นเท่าใด [A-Level ฟิสิกส์ ปี 68]
- \frac{3a}{4}
- \frac{a}{2}
- \frac{a}{3}
- \frac{a}{4}
- \frac{a}{9}
วิธีทำ จาก r_n=a_0n^2
แทนค่า r_3=a_03^2 (สถานะกระตุ้นที่สอง, n=3)
r_3=r_13^2
a=r_13^2
r_1=\frac{a}{9}
ตอบ รัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะพื้นเท่ากับ \frac{a}{9} (ตัวเลือกที่ 5)
2. อะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนระดับพลังงานจากสถานะที่ n ไปยังสถานะพื้นที่มีพลังงาน -13.6 อิเล็กตรอนโวลต์ โดยแผ่รังสีที่มีพลังงาน 10.2 อิเล็กตรอนโวลต์ ออกมา
คำถาม n มีค่าเท่าใด [A-Level ฟิสิกส์ ปี 68]
วิธีทำ จาก E_1=-13.6\text{ eV} และ E_n=-\frac{13.6}{n^2}\text{ eV}
จะได้ว่า E_n-E_1=10.2
-\frac{13.6}{n^2}-\left(-13.6\right)=10.2
-\frac{13.6}{n^2}=10.2-13.6
-\frac{13.6}{n^2}=-3.4
n^2=\frac{13.6}{3.4}
n^2=4
n=2
ตอบ n มีค่าเท่ากับ 2
3. หากฉายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงาน 4 \text{ eV} เข้าไปยังผิวโลหะ x จะพบว่าสามารถเกิดกระแสไฟฟ้าในวงจรโฟโตอิเล็กทริกได้ และอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลน์สูงสุด 1.8\text{ eV} จงหาว่าถ้าให้พลังงานแสงที่มีความถี่เป็นครึ่งหนึ่งของกรณีแรก อิเล็กตรอนจะหลุดออกมาโดยมีพลังงานจลน์สูงสุดเท่าใด [แนว A-Level ฟิสิกส์ ปี 67]
- -0.2\text{ eV}
- 0.2\text{ eV}
- 0.8\text{ eV}
- 1.5\text{ eV}
- ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย
วิธีทำ หาฟังก์ชันงานของโลหะ x
จาก hf=W+E_{k_{max}}
แทนค่า 4=W+1.8
W=2.2\text{ eV}
ดังนั้น โลหะ x มี W=2.2\text{ eV}
หาพลังงานของแสงในกรณีที่สอง (f_2=\frac{f}{2})
จาก hf_2=\frac{hf}{2}
hf_2=\frac{4}{2}
hf_2=2\text{ J}
ดังนั้น พลังงานของแสงในกรณีสองเท่ากับ 2\text{ J}
หาพลังงานจลน์สูงสุด
จาก hf=W+E_{k_{max}}
แทนค่า 2=2.2+E_{k_{max}}
W=-0.2\text{ eV}
ดังนั้น ติดลบแสดงว่า hf<W จึงได้ว่าไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย
ตอบ ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย (ตัวเลือกที่ 5)
ข้อสอบฟิสิกส์พร้อมเฉลย
ดูคลิปติว A-Level ฟิสิกส์
ดูคลิปติววิชาอื่น ๆ ได้ทาง Youtube : SmartMathPro
บทความ แนะนำ
บทความ แนะนำ
ทีมวิชาการฟิสิกส์
ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำคอร์สเรียนร่วมกับพี่ติวเตอร์
และผู้เขียนบทความวิชาการฟิสิกส์ของสถาบัน SmartMathPro
ทีมวิชาการฟิสิกส์
ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำคอร์สเรียนร่วมกับพี่ติวเตอร์
และผู้เขียนบทความวิชาการฟิสิกส์ของสถาบัน SmartMathPro
สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ ที่อัปเดตอย่างเรียลไทม์ ได้ที่
Line : @smartmathpronews
FB : Pan SmartMathPro ติวคณิต By พี่ปั้น
IG : pan_smartmathpro
X : @PanSmartMathPro
Tiktok : @pan_smartmathpro
Lemon8 : @pan_smartmathpro








