หน้าหลัก > เนื้อหาวิชาการ > ฟิสิกส์ > ฟิสิกส์อะตอม ม.6 สรุปพร้อมโจทย์และเฉลยจัดเต็ม
ฟิสิกส์อะตอม

ฟิสิกส์อะตอม เป็นบทที่น้อง ๆ ม.6 อาจคุ้นเคยชื่อนี้กันเป็นอย่างดี และอาจเป็นบทสุดหินของหลาย ๆ คน เนื่องจากมีทฤษฎีให้ต้องเข้าใจและจำเยอะมาก แถมยังเป็นเรื่องที่ออกสอบใน A-Level ฟิสิกส์อีกด้วย สำหรับคนที่งงเรื่องนี้อยู่ ไม่ต้องห่วงน้า วันนี้พี่สรุปเนื้อหาฟิสิกส์อะตอมมาให้ทุกคนอ่านพร้อมโจทย์และเฉลยมาให้ครบแล้ว ไปอ่านกันเลยยย

ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ มนุษย์มีความเชื่อว่าสสารทั้งมวลประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุดที่แบ่งแยกไม่ได้ หรือที่เรียกว่า อะตอม อย่างไรก็ตาม กว่าที่แนวคิดนี้จะก้าวข้ามปรัชญาไปสู่การเป็นวิทยาศาสตร์เชิงทดลองได้อย่างชัดเจน ก็ต้องใช้เวลานับศตวรรษ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 การศึกษาพฤติกรรมของแสงและสสารในระดับที่เล็กที่สุดได้นำไปสู่การถือกำเนิดของฟิสิกส์อะตอม 

ฟิสิกส์อะตอม คือ สาขาพื้นฐานที่มุ่งเน้นการทำความเข้าใจโครงสร้างภายในของอะตอมและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอม การจัดเรียงตัวของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส อันตรกิริยาระหว่างอะตอมกับสิ่งอื่น ๆ จนเกิดเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับอะตอมต่าง ๆ มากมายในเวลาต่อมา

สมมติฐานของพลังค์และทฤษฎีอะตอมของโบร์

การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดำ

จากการทดลองพบว่า วัตถุทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส หากมีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์องศาสัมบูรณ์ (0\text{ K}) จะแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาเสมอ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมานั้นมีความถี่ต่อเนื่อง เรียกว่า สเปกตรัมต่อเนื่อง และมีความยาวคลื่นสูงสุด (\lambda_{max}) ขึ้นกับอุณหภูมิของวัตถุนั้น ๆ ดังรูป

ความเข้มของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากวัตถุที่มีอุณหภูมิต่าง ๆ

นักวิทยาศาสตร์ได้พยายามหาคำตอบเกี่ยวกับการแผ่ออกมาของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กระจายออกมาในแต่ละช่วงความยาวคลื่น โดยใช้แนวคิดจากทฤษฎีฟิสิกส์แบบฉบับ (classical physics) พบว่า สมการที่ได้จะตรงกับผลการทดลองในช่วงความยาวคลื่นมากเท่านั้น ส่วนในช่วงความคลื่นสั้น สมการที่ได้กลับไม่ตรงกับผลการทดลองจริง ดังรูป

ความเข้มของสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากวัตถุที่มีอุณหภูมิหนึ่งตามแนวคิดฟิสิกส์แบบฉบับกับผลการทดลอง

ในปี พ.ศ. 2443 มักซ์ พลังค์ (Max Planck) ได้เสนอแนวคิดปฏิวัติวงการฟิสิกส์เพื่ออธิบายการแผ่รังสีของวัตถุดำ ซึ่ง
ไม่ได้หมายถึงวัตถุสีดำ แต่หมายถึงวัตถุในอุดมคติที่สามารถดูดกลืนรังสีได้หมด และ แผ่รังสีออกมา
ได้ดีที่สุดในทุกช่วงความถี่ที่อุณหภูมิหนึ่ง ๆ

วัตถุดำ (black body)

โดยมีใจความสำคัญ 2 ข้อ

  1. การแผ่และการดูดกลืนพลังงานของวัตถุจะเกิดขึ้นเป็นก้อนหรือชุด ๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง (Discrete) เรียกว่า ควอนตัมของพลังงาน (Quantum of Energy)
  2. พลังงานของควอนตัมแต่ละชุดจะมีค่าเป็นจำนวนเต็มเท่าของ hf หรือ \varepsilon เขียนเป็นสมการได้ว่า

                                                                            E=n\varepsilon=nhf

โดย

E คือ พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดูดกลืน หรือ แผ่ออกมา

n คือ เลขควอนตัม เป็นจำนวนเต็มบวก (เช่น n=1,\ 2,\ 3,\ \ldots ซึ่งแสดงถึงจำนวนโฟตอน)

h คือ ค่าคงตัวของพลังค์ (Planck’s constant) มีค่าประมาณ 6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}

ตัวอย่างโจทย์ : การแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของวัตถุดำ

จงหาควอนตัมของพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่ 8.00\times{10}^{11}\text{ Hz}

วิธีทำ จาก \varepsilon=hf 
            แทนค่า h=6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}  และ f=\ 8.00\times{10}^{11}\text{ Hz}  
\varepsilon=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\left(8.00\times{10}^{11}\ \right) 
\varepsilon=5.30\times{10}^{-22}\text{ J}
ตอบ ควอนตัมของพลังงานเท่ากับ 5.30\times{10}^{-22}\text{ J}

ทฤษฎีอะตอมของโบร์

แบบจำลองอะตอม

แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตามหลักฐานการทดลองที่ค้นพบใหม่ ๆ ในแต่ละยุคสมัย โดยสามารถสรุปการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของแบบจำลองได้ดังนี้

แบบจำลองอะตอมในยุคแรกถูกเสนอโดย จอห์น ดอลตัน โดยระบุว่าอะตอมเป็นเพียง ทรงกลมตัน ที่เล็กที่สุด ไม่ได้สามารถแบ่งแยกและทำลายได้ ซึ่งอะตอมของธาตุชนิดเดียวกันจะมีสมบัติเหมือนกัน แต่จะมีสมบัติต่างจากอะตอมของธาตุอื่น อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้ไม่สามารถอธิบายการมีอยู่ของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าภายในอะตอมได้

แบบจำลองอะตอมของดอลตัน

หลังจากการค้นพบอิเล็กตรอน ทอมสัน ได้เสนอแบบจำลองที่อะตอมเป็นทรงกลมที่เป็นเนื้อเดียวกันของ ประจุบวก ซึ่งมี อิเล็กตรอน กระจายอยู่ในเนื้อทรงกลม เพื่อทำให้อะตอมอยู่ในสภาวะเป็นกลางทางไฟฟ้า

แบบจำลองอะตอมของทอมสัน

จากการทดลองยิงอนุภาคแอลฟาผ่านแผ่นทองคำบาง เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ค้นพบว่าอะตอมมีพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ และประจุบวกส่วนใหญ่อัดแน่นอยู่ในบริเวณเล็ก ๆ ตรงกลางที่เรียกว่า นิวเคลียส จึงนำไปสู่แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด ซึ่งมองว่าอะตอมมีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางและมีอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบ ๆ อย่างไรก็ตาม แบบจำลองนี้มีข้อบกพร่องตามหลักฟิสิกส์แบบฉบับที่ว่าอิเล็กตรอนควรจะสูญเสียพลังงานและตกลงไปในนิวเคลียส

แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด

นอกจากปัญหาเรื่องความไม่เสถียรของอิเล็กตรอน ยังมีอีกหนึ่งปัญหา คือ ไม่สามารถอธิบายการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของแก๊สร้อนและเย็นที่แผ่ออกมาเฉพาะบางค่าวามถี่ และยังพบว่าแก๊สแต่ละชนิดจะมีชุดสเปกตรัมที่แตกต่างกัน

สเปกตรัมแบบต่าง ๆ

นีลส์ โบร์ ได้เสนอแบบจำลองอะตอมไฮโดรเจนโดยอาศัยแนวคิดของรัทเทอร์ฟอร์ด และแนวคิดของพลังค์ โดยสมมติฐานใหม่ 2 ข้อ 

  1. อิเล็กตรอนเคลื่อนที่เป็นวงกลมรอบนิวเคลียสโดยไม่ปล่อยพลังงานในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ในวงโคจรที่เสถียรนี้ อิเล็กตรอนจะมีโมเมนตัมเชิงมุมคงตัว โดยเป็นจำนวนเท่าของ \bar{h}

                                                                                     L=mvr=n\bar{h}

โดย

L คือ ขนาดโมเมนตัมเชิงมุม 

n คือ เลขควอนตัม เป็นจำนวนเต็มบวก 

\bar{h}  คือ ค่าคงตัว มีค่าเท่ากับ \frac{h}{2\pi}  

m คือ มวลของอิเล็กตรอน 

r คือ รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน

        2. อิเล็กตรอนจะรับหรือปล่อยพลังงานทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนวงโคจร โดยพลังงานที่อิเล็กตรอนรับหรือปล่อยจะอยู่               ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตามสมการ 

                                                                            

                                                                                     \left|E_i-E_f\right|=hf

โดย

E_i คือ พลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่วงโคจรชั้นนอก 

E_f คือ พลังงานของอิเล็กตรอนที่อยู่วงโคจรชั้นใน

อิเล็กตรอนเปลี่ยนระดับชั้นพลังงาน

รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน

                                                                                     r_n=a_0n^2

โดย a_0=0.529\times{10}^{-10}\text{ m}  เรียกว่า รัศมีโบร์ (Bohr radius)

ระดับพลังงานของอะตอมไฮเดรเจน (hydrogen energy level)

ระดับพลังงานของอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจน สามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้ 

                                                                                   E_n=\frac{-13.60}{n^2}\text{ eV}

โดยที่ n คือ ระดับชั้นพลังงาน

ระดับพลังงานของอะตอมไฮเดรเจน

เมื่ออิเล็กตรอนอยู่ในวงโคจรชั้นในสุด (n=1) อะตอมจะมีพลังงานต่ำสุด เรียกว่า สถานะพื้น ซึ่งอะตอมจะมีเสถียรภาพมากที่สุด 

เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงาน จะทำให้อิเล็กตรอนไปอยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่า เรียกว่า สถานะกระตุ้น อะตอมที่อยู่ในสถานะกระตุ้นพร้อมจะกลับสู่สถานะที่ต่ำกว่าตลอดเวลา และจะปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสเปกตรัมสีต่าง ๆ ดังตัวอย่างสเปกตรัมของไฮโดรเจน  

สเปกตรัมของไฮเดรเจน
ตัวอย่างโจทย์ : ทฤษฎีอะตอมของโบร์

อิเล็กตรอนตัวหนึ่งโคจรรอบนิวเคลียสของอะตอมไฮโดรเจน โดยมี n=2 จงหา

ก.รัศมีวงโคจร 

ข.ถ้าอิเล็กตรอนกลับสู่สถานะพื้น จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นเท่าใด

วิธีทำ

ก. รัศมีวงโคจร

จาก       r_n=a_0n^2

แทนค่า r_2={\left(0.529\times{10}^{-10}\right)2}^2 

             r_2=4\left(0.529\times{10}^{-10}\right) 

             r_2=2.116\times{10}^{-10}\text{ m}

ตอบ รัศมีวงโคจรเท่ากับ 2.116\times{10}^{-10}\text{ m}

ข.ถ้าอิเล็กตรอนกลับสู่สถานะพื้น จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นเท่าใด

จาก                        E_i-E_f=hf

แทนค่า                    E_2-E_1=hf

              -3.40-(-13.60)=h\frac{C}{\lambda}

                             10.2=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\frac{3\times{10}^8}{\lambda}

                             \lambda=\left(6.626\times{10}^{-34}\right)\frac{3\times{10}^8}{10.2}

                             \lambda=1.95\times{10}^{-26}\text{ m}

ตอบ ความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่ากับ 1.95\times{10}^{-26}\text{ m}

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect) เป็นปรากฏการณ์ที่อิเล็กตรอนหลุดจากผิวโลหะเมื่อมีแสงที่มีความถี่เหมาะสมมาตกกระทบโดยเรียกอิเล็กตรอนที่หลุดออกมานี้ว่า โฟโตอิเล็กตรอน (photoelectron) และเกิดกระแสโฟโตอิเล็กตรอน (photoelectric current) ถูกค้นพบโดย ไฮน์ริช รูดอล์ฟ แฮทซ์ (Heinrich Rudolf Hertz)

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect)

ผลการศึกษาปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก สรุปได้ดังนี้

  1. โฟโตอิเล็กตรอนเกิดขึ้นเมื่อแสงที่ตกกระทบกับโลหะมีความถี่สูงถึงค่า ๆ หนึ่ง
  2. จำนวนโฟโตอิเล็กตรอนที่ปลดปล่อยออกมา ขึ้นอยู่กับความเข้มของแสง
โฟโตอิเล็กตรอน

        3. พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นกับความเข้มของแสง แต่ขึ้นกับความถี่ของแสง

ฟังก์ชันงานและพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน

แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ได้นำสมมติฐานควอนตัมของพลังค์มาใช้อธิบายผลการทดลองของเฮิรตซ์ โดยเสนอว่าแสงมีสมบัติเป็นอนุภาคที่เรียกว่า โฟตอน (photon) โดยแต่ละโฟตอนมีพลังงานเท่ากับ hf ลำแสงความถี่ f จึงประกอบด้วยโฟตอนจำนวนมาก 

เมื่อแสงความถี่ f ตกกระทบบนผิวโลหะ ถ้าความถี่ f ของแสงที่ใช้มีค่ามากกว่าหรือเท่ากับความถี่ค่าหนึ่งที่เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (threshold frequency) f_0 ก็จะมีโฟโตอิเล็กตรอนหลุดออกมา

ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก (photoelectric effect)

ไอน์สไตน์อธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกนี้ได้โดยอาศัยสมมติฐานควอนตัมของพลังงานของแสงของพลังค์ข้างต้น และกฎการอนุรักษ์พลังงาน ว่าโฟโตอิเล็กตรอนที่หลุดออกมา เกิดจากโฟตอน 1 โฟตอน ชนและถ่ายโอนพลังงานทั้งหมดให้กับอิเล็กตรอน 1 อิเล็กตรอน ตามสมการ

                                                                                     hf=W+E_{k_{max}}

โดย

hf คือ พลังงานของโฟตอนที่มีความถี่ f ที่ฉายลงบนผิวโลหะ

W คือ พลังงานที่น้อยที่สุดของโฟตอนที่ทำให้มีโฟโตอิเล็กตรอนได้ มีค่าเท่ากับพลังงานยึดเหนี่ยวอิเล็กตรอนในโลหะ 

E_{k_{max}} คือ พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน

เราสามารถเขียนกราฟความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของโฟตอนที่ตกกระทบผิวโลหะ ซึ่งอยู่ในรูปของสมการเส้นตรง โดยมีความชันของเส้นตรง คือ ค่าคงตัวของพลังค์ คือ (h) และ มีจุดตัดแกนตั้ง คือ -W ดังรูป

กราฟความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของโฟตอนที่ตกกระทบผิวโลหะ
กราฟความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนกับความถี่ของโฟตอนที่ตกกระทบผิวของโลหะสองชนิด

ฟังก์ชันงาน

อิเล็กตรอนถูกยึดเหนี่ยวด้วยพลังงานภายในอะตอมของสสาร การจะดึงอิเล็กตรอนออกจากผิวโลหะต้องใช้พลังงานอย่างน้อยค่าหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ฟังก์ชันงาน (work function)”

  • หากพลังงานของโฟตอนที่ตกกระทบมีค่า น้อยกว่า ฟังก์ชันงาน (hf\lt W) หรือ (f\lt f_0)อิเล็กตรอนจะ ไม่หลุดออกมา
  • หากพลังงานของโฟตอนที่ตกกระทบมีค่า มากกว่าหรือเท่ากับ ฟังก์ชันงาน (hf\geq\ W) หรือ (f\geq\ f_0) อิเล็กตรอนจะ หลุดออกมาจากผิวโลหะได้

เมื่อความถี่ของแสงมีค่าเท่ากับความถี่ขีดเริ่ม (f=f_0) จะเริ่มเกิดโฟโตอิเล็กตรอนพอดี และโฟโตอิเล็กตรอนจะมีพลังงานจลน์สูงสุดเป็นศูนย์ เราสามารถคำนวณฟังก์ชันงาน (W) ของโลหะได้จากสมการ 

                                                                                     W=hf_0

ซึ่งหมายถึง พลังงานยึดเหนี่ยวของอิเล็กตรอนในโลหะหนึ่ง ๆ นั่นเอง 

ตัวอย่าง ฟังก์ชันงานของโลหะบางชนิดแสดงดังตาราง

ฟังก์ชันงานของโลหะแต่ละชนิด

พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน

เราสามารถหาค่าพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนจากการทดลองได้โดยการต่อวงจรเพื่อวัด “ศักย์ไฟฟ้าหยุดยั้ง” ซึ่งเป็นศักย์ไฟฟ้าที่มากพอจะหยุดยั้งโฟโตอิเล็กตรอนที่มีพลังงานจลน์สูงสุดไม่ให้ไปถึงแอโนดได้ ดังรูป

การต่อวงจรเพื่อวัดพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน
กราฟกระแสโฟโตอิเล็กตรอนกับศักย์ไฟฟ้า

หากโฟโตอิเล็กตรอนมีพลังงานจลน์สูงสุดมากขึ้น จะต้องเพิ่มความต่างศักย์หยุดยั้งให้มากขึ้นด้วย ดังนั้น ความต่างศักย์หยุดยั้งจึงเป็นค่าที่บ่งบอกพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนได้โดยตรง 

เมื่อทำการทดลองโดยใช้แสงที่มีความเข้มเพิ่มขึ้น พบว่า กระแสในวงจรจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีโฟโตอิเล็กตรอนถูกปล่อยออกมามากขึ้น แต่ค่าศักย์หยุดยั้งจะยังคงเท่าเดิม แสดงว่า พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นกับความเข้มของแสง แต่ขึ้นกับความถี่ของแสงที่มากระทบ

 ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์สามารถแสดงได้ด้วยกราฟ ดังรูป

กราฟกระแสโฟโตอิเล็กตรอนกับศักย์ไฟฟ้าของแสงที่มีความเข้มแสงต่างกัน (ความถี่คงที่)
ตัวอย่างโจทย์ : ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก

ฉายแสงที่มีความถี่ 1.25\times{10}^{15}\text{ Hz} ไปที่ผิวโลหะหนึ่ง ถ้าความถี่ขีดเริ่มมีค่าเป็น 5.10\times{10}^{14}\text{ Hz} จงหาฟังก์ชันงานของโลหะและ พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน ตามลำดับ

1. 2.11\text{ eV},\ 2.75\text{ eV}

2. 2.11\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}

3. 5.20\text{ eV},\ 2.75\text{ eV}

4. 5.20\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}

วิธีทำ หาฟังก์ชันงาน จากสมการ W=hf_0

W=\left(6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}\right)\left(5.10\times{10}^{14}\text{ Hz}\right)

W=3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J}

W=\frac{3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{J/eV}}

W=2.11\text{ eV}

ดังนั้น ฟังก์ชันงานของโลหะนั้นมีค่าเท่ากับ 2.11 อิเล็กตรอนโวลต์

หาพลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอน จากสมการ E_{k_{max}}=hf-W

E_{k_{max}}=\left(6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}\right)\left(1.25\times{10}^{15}\text{ Hz}\right)-(3.38\times{10}^{-19\ }\text{ J})

E_{k_{max}}=4.90\times{10}^{-19\ }\text{ J}

E_{k_{max}}=\frac{4.90\times{10}^{-19\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{J/eV}}

E_{k_{max}}=3.06\text{ eV}

ดังนั้น พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 3.06 อิเล็กตรอนโวลต์

ตอบ ข้อ 2 2.11\text{ eV},\ 3.06\text{ eV}

ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค

สมมติฐานของเดอบรอยล์

เดอบรอยล์ได้เสนอแนวคิดว่า “ในเมื่อแสงซึ่งประพฤติตัวเป็นคลื่น สามารถแสดงสมบัติของอนุภาคได้ สิ่งที่เป็นอนุภาค เช่น อิเล็กตรอน ก็น่าจะแสดงสมบัติของคลื่นได้เช่นกัน” 

ตามสมมติฐานของเดอบรอยล์ (de Broglie’s hypothesis) อนุภาคที่ประพฤติตัวเป็นคลื่นจะมีความยาวคลื่น (\lambda) ซึ่งเรียกว่า ความยาวคลื่นเดอบรอยล์ (de Broglie wavelength) ซึ่งมีค่าขึ้นกับโมเมนตัม (P) ของอนุภาค ตามสมการ

                                                                                     \lambda=\frac{h}{P}=\frac{h}{mv}=\frac{h}{\sqrt{2mE_k}}

โดย        \lambda คือ ความยาวคลื่นของอนุภาค 

               P คือ โมเมนตัมของอนุภาค 

               m คือ มวลของอนุภาค 

               v คือ ความเร็วของอนุภาค 

               E_k คือ พลังงานจลน์ของอนุภาค

เดอ บรอยล์ได้อธิบายสมมติฐานของโบร์ว่า การโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสไม่เกิดการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา เนื่องจากอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่รอบนิวเคลียสแสดงสมบัติเป็นคลื่นนิ่งได้ โดยมีความยาวเส้นรอบวงของวงโคจรมีค่าเป็นจำนวนเต็มเท่าของความยาวคลื่นของอิเล็กตรอน ดังรูป

การโคจรของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส

ช่วงความยาวคลื่นที่ทำให้เกิดคลื่นนิ่ง สามารถเขียนความสัมพันธ์ ได้ดังนี้

                                                                                     2\pi\ r=n\lambda  เมื่อ (n=1,\ 2,\ 3,\ \ldots) 

                                                                                     2\pi\ r=n\left(\frac{h}{mv}\right) 

                                                                                     mvr=n\left(\frac{h}{2\pi}\right) 

                                                                                    mvr=n\bar{h} 

 

โดย

r  คือ รัศมีวงโคจรของอิเล็กตรอน 

\lambda  คือ ความยาวคลื่น 

อธิบายสมมติฐานของโบร์ที่ว่า มีวงโคจรบางวงที่อีเล็กตรอนที่เคลื่อนรอบนิวเคลียสโดยไม่มีการแผ่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และอิเล็กตรอนจะมีขนาดโมเมนตัมเชิงมุม L=mvr=n\bar{h}

ตัวอย่างโจทย์ : ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค

อิเล็กตรอนที่ประพฤติตัวเป็นคลื่นมีความยาวคลื่น 0.20 นาโนเมตร จะมีโมเมนตัมและพลังงานเท่าใด

วิธีทำ หาโมเมนตัมของอิเล็กตรอน จากสมการ P=\frac{h}{\lambda} 

P=\frac{6.626\times{10}^{-34}\text{ J}\cdot \text{s}}{0.20\times{10}^{-9\ }\text{m}}

P=3.31\times{10}^{-24\ }\text{kg}\cdot \text{m/s}

ดังนั้น โมเมนตัมของอิเล็กตรอน มีค่าเท่ากับ 3.31\times{10}^{-24\ }\text{kg}\cdot \text{m/s}

หาพลังงานของอิเล็กตรอน จากสมการ E=\frac{P^2}{2m}

E=\frac{{(3.31\times{10}^{-24\ }\text{ kg}\cdot \text{m/s}})^2}{2(9.11\times{10}^{-31\ }\text{ kg})}

E=6.01\times{10}^{-18\ }\text{ J}

E=\frac{6.01\times{10}^{-18\ }\text{ J}}{1.60\times{10}^{-19\ }\text{ J/eV}}

E=37.6\text{ eV} 

ดังนั้น พลังงานของอิเล็กตรอนมีค่าเท่ากับ 37.6\text{ eV} 

ตอบ อิเล็กตรอนมีโมเมนตัมและพลังงาน 3.31\times{10}^{-24\ }\text{ kg}\cdot \text{m/s} และ 37.6\text{ eV} ตามลำดับ

ติว A-Level ฟิสิกส์ กับ SmartMathPro

พี่ขอแนะนำตัวช่วยอย่าง คอร์สเตรียมสอบมหาลัยฯ ของ SmartMathPro เลยย มีให้เลือกมากมายทั้งสนาม TGAT / TPAT หรือ A-Level และสอนโดยติวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละวิชาด้วย

โดยในแต่ละคอร์สจะสอนปูพื้นฐานแบบละเอียด อิงตาม Test Blueprint ปีล่าสุด (ใครที่พื้นฐานไม่แน่นก็สามารถเรียนได้) พร้อมพาตะลุยโจทย์แบบไต่ระดับ ตั้งแต่โจทย์ซ้อมมือไปจนถึงข้อสอบเก่าหรือโจทย์ที่ใกล้เคียงกับข้อสอบจริง แถมยังแจกเทคนิคในการทำข้อสอบที่จะช่วยให้น้อง ๆ ทำข้อสอบได้เร็วขึ้นและช่วยเพิ่มโอกาสในการอัปคะแนนให้อีกด้วย สำหรับน้อง ๆ คนไหนที่สมัครตอนนี้ รับฟรี Unseen Mock Test ชุดพิเศษ และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ประจำเดือน ถ้าใครสนใจ คลิก เข้ามาดูรายละเอียดแต่ละคอร์สได้เลยยย

ข้อสอบฟิสิกส์อะตอมพร้อมเฉลย

1. จากแบบจำลองอะตอมไฮโดรเจนของโบร์ ถ้ารัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะกระตุ้นที่สองของอะตอมไฮโดรเจนเป็น a 

คำถาม รัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะพื้นเป็นเท่าใด [A-Level ฟิสิกส์ ปี 68]

  1. \frac{3a}{4}
  2. \frac{a}{2}
  3. \frac{a}{3}
  4. \frac{a}{4}
  5. \frac{a}{9}
เฉลยข้อสอบฟิสิกส์อะตอมข้อที่ 1

วิธีทำ จาก        r_n=a_0n^2
           แทนค่า      r_3=a_03^2 (สถานะกระตุ้นที่สอง, n=3)
                            r_3=r_13^2
                            a=r_13^2
                               r_1=\frac{a}{9}
ตอบ รัศมีการโคจรของอิเล็กตรอนสำหรับสถานะพื้นเท่ากับ \frac{a}{9} (ตัวเลือกที่ 5)

2. อะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนระดับพลังงานจากสถานะที่ n ไปยังสถานะพื้นที่มีพลังงาน -13.6 อิเล็กตรอนโวลต์ โดยแผ่รังสีที่มีพลังงาน 10.2 อิเล็กตรอนโวลต์ ออกมา

คำถาม n มีค่าเท่าใด [A-Level ฟิสิกส์ ปี 68]

เฉลยข้อสอบฟิสิกส์อะตอมข้อที่ 2

วิธีทำ จาก E_1=-13.6\text{ eV} และ E_n=-\frac{13.6}{n^2}\text{ eV} 

             จะได้ว่า               E_n-E_1=10.2

                        -\frac{13.6}{n^2}-\left(-13.6\right)=10.2

                                                -\frac{13.6}{n^2}=10.2-13.6

                                                 -\frac{13.6}{n^2}=-3.4

                                                        n^2=\frac{13.6}{3.4}

                                                        n^2=4

                                                           n=2

ตอบ n มีค่าเท่ากับ 2

3. หากฉายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงาน 4 \text{ eV} เข้าไปยังผิวโลหะ x จะพบว่าสามารถเกิดกระแสไฟฟ้าในวงจรโฟโตอิเล็กทริกได้ และอิเล็กตรอนที่หลุดออกมาจะมีพลังงานจลน์สูงสุด 1.8\text{ eV} จงหาว่าถ้าให้พลังงานแสงที่มีความถี่เป็นครึ่งหนึ่งของกรณีแรก อิเล็กตรอนจะหลุดออกมาโดยมีพลังงานจลน์สูงสุดเท่าใด [แนว A-Level ฟิสิกส์ ปี 67]

  1. -0.2\text{ eV}
  2. 0.2\text{ eV}
  3. 0.8\text{ eV}
  4. 1.5\text{ eV}
  5. ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย
เฉลยข้อสอบฟิสิกส์อะตอมข้อที่ 3

วิธีทำ หาฟังก์ชันงานของโลหะ x
จาก                     hf=W+E_{k_{max}}
แทนค่า                    4=W+1.8 
                               W=2.2\text{ eV} 

ดังนั้น โลหะ x มี W=2.2\text{ eV}

หาพลังงานของแสงในกรณีที่สอง (f_2=\frac{f}{2})
จาก            hf_2=\frac{hf}{2}
                      hf_2=\frac{4}{2}
                      hf_2=2\text{ J}

ดังนั้น พลังงานของแสงในกรณีสองเท่ากับ 2\text{ J}
หาพลังงานจลน์สูงสุด
จาก                hf=W+E_{k_{max}}
แทนค่า               2=2.2+E_{k_{max}}
                          W=-0.2\text{ eV}  
ดังนั้น ติดลบแสดงว่า hf<W จึงได้ว่าไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย
ตอบ ไม่มีอิเล็กตรอนหลุดออกมาเลย (ตัวเลือกที่ 5)

ข้อสอบฟิสิกส์พร้อมเฉลย

ดูคลิปติว A-Level ฟิสิกส์

ดูคลิปติววิชาอื่น ๆ ได้ทาง Youtube : SmartMathPro

บทความ แนะนำ

บทความ แนะนำ

A-Level-ฟิสิกส์ ออกสอบอะไรบ้าง ?
A-Level ฟิสิกส์ 68 สอบอะไรบ้าง ? มีกี่ข้อ ? พร้อมตัวอย่างข้อสอบ
สรุปเนื้อหาฟิสิกส์เรื่องคลื่น ม.5
สรุป คลื่น ฟิสิกส์ ม.5 พร้อมโจทย์และเฉลยฟรี
สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.5 เสียง
เสียง ฟิสิกส์ ม.5 สรุปเนื้อหา พร้อมสูตรและตัวอย่างโจทย์
สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ แรง ม.4
สรุป แรง ฟิสิกส์ ม.4 พร้อมแจกโจทย์และเฉลย - SmartMathPro
สรุปเนื้อหาฟิสิกส์ ม.5 เรื่องแสงเชิงคลื่น
สรุป แสงเชิงคลื่น ฟิสิกส์ ม.5 พร้อมโจทย์และเฉลย
สรุป ฟิสิกส์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ม.6
สรุป ฟิสิกส์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ม.6 พร้อมโจทย์และเฉลย

ทีมวิชาการฟิสิกส์

ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำคอร์สเรียนร่วมกับพี่ติวเตอร์
และผู้เขียนบทความวิชาการฟิสิกส์ของสถาบัน SmartMathPro

ทีมวิชาการฟิสิกส์

ผู้อยู่เบื้องหลังการจัดทำคอร์สเรียนร่วมกับพี่ติวเตอร์
และผู้เขียนบทความวิชาการฟิสิกส์ของสถาบัน SmartMathPro

สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงติดตามข่าวสารต่าง ๆ ที่อัปเดตอย่างเรียลไทม์ ได้ที่

Line : @smartmathpronews

FB : Pan SmartMathPro ติวคณิต By พี่ปั้น 

IG : pan_smartmathpro

X : @PanSmartMathPro

Tiktok : @pan_smartmathpro

Lemon8 : @pan_smartmathpro

Share